ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดการเงินทั่วโลกในวันศุกร์ที่ผ่านมา ด้วยการประกาศว่าจะเริ่ม “ทยอยขาย” กองทุน ETF และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่น (JREITs) ที่ได้เข้าซื้อสะสมไว้เป็นมูลค่ามหาศาลถึง 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดถึงการสิ้นสุดยุค “นโยบายการเงินผ่อนคลายเป็นพิเศษ” (Ultra-loose Monetary Policy) ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน
การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตลาด โดยดัชนี Nikkei ปรับตัวลดลงกว่า 1% ในขณะที่ตลาดคริปโตก็ได้รับผลกระทบไปด้วย โดยราคา Bitcoin ได้ร่วงลงจากที่พยายามจะทดสอบระดับ 118,000 ดอลลาร์ กลับลงมาอยู่ที่บริเวณ 115,000 ดอลลาร์

กราฟ BTC/USD ที่มา: Tradingview
แผนการขายที่ ‘ยาวนานกว่าศตวรรษ’
ภายใต้แผนการดังกล่าว ธนาคารกลางจะทำการขาย ETF ที่มีมูลค่าตามบัญชีประมาณ 3.3 แสนล้านเยน (2.2 พันล้านดอลลาร์) ต่อปี ซึ่งคาซูโอะ อุเอดะ (Kazuo Ueda) ผู้ว่าการ BOJ ได้เน้นย้ำว่าอัตราการขายจะเป็นไปอย่าง “เชื่องช้าโดยเจตนา” และตั้งข้อสังเกตว่าอาจต้องใช้เวลานานกว่า “หนึ่งศตวรรษ” จึงจะสามารถขายสินทรัพย์ที่ถือครองทั้งหมดออกไปได้
การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการตัดสินใจ “คง” อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของธนาคารไว้ที่ 0.5% แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดคือมติที่ไม่เป็นเอกฉันท์ โดยมีกรรมการ 2 ท่านจาก 9 ท่านที่ลงมติ “สวน” โดยต้องการให้ “ขึ้น” ดอกเบี้ยทันที ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่แข็งกร้าว (Hawkish) และเพิ่มการคาดการณ์ว่าอาจจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนตุลาคมนี้
ตลาดปั่นป่วน หุ้นร่วง-บอนด์ยีลด์พุ่ง-Bitcoin สะดุด
ปฏิกิริยาของตลาดเป็นไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ดัชนี Nikkei ของญี่ปุ่นร่วงลงกว่า 1% ในวันศุกร์ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) อายุ 10 ปี ได้พุ่งขึ้นไปที่ 1.64%
ตลาดคริปโตก็ได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นที่ลดลงไปด้วย โดยราคา Bitcoin ซึ่งก่อนหน้านี้กำลังพยายามจะทะลุแนวต้านสำคัญที่ 118,000 ดอลลาร์ ได้ร่วงกลับลงมาอยู่ที่บริเวณเหนือ 115,000 ดอลลาร์เพียงเล็กน้อย
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางฉากหลังที่เปราะบางอยู่แล้ว โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP ของญี่ปุ่นอยู่ที่เกือบ 240% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็อยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นอาจสร้างความเสี่ยงร้ายแรงต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศได้
ที่มา: cryptonews

