หากพูดถึงกระแสที่กำลังมาแรงที่สุดในเวลานี้ ชื่อของ “Aster” กำลังกลายเป็นที่จับตามองอย่างรวดเร็วในฐานะกระดานเทรดฟิวเจอร์สแบบกระจายอำนาจ (Perp -DEX) น้องใหม่ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์น่าสนใจมากมาย อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจาก ฉางเผิง เจ้า (CZ) ผู้ร่วมก่อตั้ง Binance ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการคริปโต
Aster คืออะไร ?
Aster คือกระดานเทรดฟิวเจอร์สแบบกระจายอำนาจ (Perp-DEX) ที่ถูกสร้างขึ้นบนเครือข่าย BNB Chain โดยมีเป้าหมายในการรวมความรวดเร็วของแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์เข้ากับความโปร่งใสและความปลอดภัยของ DeFi
โปรเจกต์นี้ถือกำเนิดขึ้นจากการรวมตัวกันของ Astherus และ APX Finance ในช่วงปลายปี 2024 ซึ่งช่วยแก้ปัญหาสำคัญในวงการ DeFi ที่หลายคนอาจมองข้าม
หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้ Aster แตกต่างจากคู่แข่งคือการให้เลเวอเรจที่สูงถึง 1,000x สำหรับการเทรด BTCUSD ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรโตคอลไม่กี่แห่งที่กล้าเสนอความเสี่ยงในระดับนี้

นอกจากนี้ Aster ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้อย่างหลากหลาย รวมถึงฟีเจอร์ “Hidden Orders” ที่จะซ่อนคำสั่งซื้อขายจากสาธารณะจนกว่าจะถูกจับคู่ เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานที่เป็นปัญหาในวงการมาอย่างยาวนาน
ในเดือนกันยายน 2025 Aster สามารถทำสถิติ Total Value Locked (TVL) ได้สูงถึงกว่า 600 ล้านดอลลาร์ และมีปริมาณการซื้อขายรายวันสูงถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้กลายเป็นหนึ่งใน Perpetual DEX ที่ใหญ่ที่สุดบน BNB Chain

หัวใจสำคัญของ Aster คือ โมเดล “Trade & Earn”
โมเดล “Trade & Earn” ทำให้ Aster แตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่น โดยอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถ Stake สินทรัพย์ต่างๆ เช่น BNB, USDT, BTC และ CAKE เป็นหลักประกัน (Margin) ในการเทรดฟิวเจอร์สได้ ทำให้เงินทุนของผู้ใช้ไม่หยุดนิ่ง และบางช่วงเวลาผลตอบแทนอาจสูงถึง 30% APY เลยทีเดียว

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ asBNB (Astherus Staked BNB) ที่ผู้ใช้สามารถนำ BNB มา Stake เพื่อรับ asBNB Token แล้วนำไปใช้เป็นหลักประกันในการเทรดฟิวเจอร์สได้ โดยที่ยังคงได้รับ Staking Rewards จากเหรียญ BNB อยู่
Aster มี 2 โหมดการเทรดสำหรับนักเทรดทุกระดับ
1001x Mode (Simple Mode)
โหมดนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยทำให้เป็นการเทรดแบบ One-click พร้อม Leverage สูงถึง 1001x ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดใน DeFi ระบบยังมีการป้องกัน MEV (Miner Extractable Value) ในตัว ปกป้องเทรดเดอร์รายย่อยจากการถูก Front-running และ Sandwich Attack

Pro Mode
โหมดนี้ถูกออกแบบมาสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ โดยใช้ระบบ Central Limit Order Book (CLOB) คล้ายกับ Hyperliquid พร้อมเครื่องมือขั้นสูง เช่น Grid Trading Automation, Multi-asset Margin และที่สำคัญคือ Hidden Orders ที่ซ่อนคำสั่งซื้อขายจนกว่าจะออร์เดอร์จับถูกจับคู่ เพื่อลดการเกิด Front-running Risk
ส่วนค่าธรรมเนียมของ Aster จะอยู่ที่ 0.01% สำหรับ Maker (เปิดคำสั่ง Limit) และ 0.035% สำหรับ Taker (เปิดคำสั่ง Market)

เบื้องหลังการสนับสนุนของ CZ
สิ่งที่ทำให้ Aster โดดเด่นคือ การได้รับแรงสนับสนุนจาก YZi Labs ที่ลงทุนใน Astherus ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่ง YZi Labs มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับ CZ และ Yi He ผู้ร่วมก่อตั้ง Binance
จุดเปลี่ยนของราคา ASTER เกิดขึ้นเมื่อ Changpeng Zhao (CZ) โพสต์ X ยินดีกับโปรเจกต์ Aster การสนับสนุนจากบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดในวงการ ทำให้เกิดแรงซื้อและเก็งกำไรมหาศาล ส่งผลให้ราคาเหรียญพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
Tokenomics

เหรียญ ASTER มี Max Supply อยู่ที่ 8 พันล้านเหรียญ โดยมี Circulating Supply ประมาณ 1.65 พันล้านเหรียญ ณ เดือนกันยายน 2025 สิ่งที่น่าสนใจคือการกระจาย Token ที่เน้น Community เป็นหลัก
- Airdrop: 53.5% (4.28 พันล้านเหรียญ)
- Ecosystem & Community: 30% (2.4 พันล้านเหรียญ)
- Treasury: 7% (560 ล้านเหรียญ)
- Team: 5% (400 ล้านเหรียญ)
- Liquidity & Listings: 4.5% (360 ล้านเหรียญ)
เหรียญ ASTER จะให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ถือ ตั้งแต่ Governance Voting, Trading Fee Discount, Staking Rewards ไปจนถึงการเข้าร่วม Trade & Earn Program
ความเสี่ยงที่ต้องระวัง
แม้ Aster จะดูน่าสนใจ แต่ก็มีความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องพิจารณา อันดับแรกเลยคือการเสนอ Leverage 1000x อาจเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ดี แต่ทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกล้างพอร์ตและขาดทุนอย่างรวดเร็วจากการเปลี่ยนแปลงราคาเพียงเล็กน้อย ในกรณีสำหรับมือใหม่เป็นหลัก
และอีกข้อที่เป็นข้อกังวลสำคัญคือ Aster มีการพึ่งพาการดำเนินงานของ Binance อยู่หลายบริการ หาก Binance มีปัญหาเรื่องกฎระเบียบตามมา หรือเกิดการหยุดให้บริการ เหตุการณ์เหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของแพลตฟอร์ม Aster ไปด้วย
สรุป
Aster แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมที่น่าสนใจในตลาด Decentralized Perpetuals ด้วยกลไกเพิ่มประสิทธิภาพเงินทุนและการสนับสนุนจากระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง รวมไปถึงข้อได้เปรียบด้านกลยุทธ์การตลาด
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในระยะยาวยังคงขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนจากกระแสการเก็งกำไร ไปสู่การดำเนินงานเป็นแพลตฟอร์มเทรดปริมาณสูงที่ยั่งยืน คำถามสำคัญคือ ความแตกต่างทางเทคโนโลยีและข้อได้เปรียบจากระบบนิเวศจะสามารถเอาชนะความเสี่ยงที่มีอยู่และแย่งส่วนแบ่งตลาดจากเจ้าตลาดเดิมได้หรือไม่
ที่มา:coingecko , nftevening

