รายงานล่าสุดเผยว่า Stablecoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ตรึงมูลค่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐ กำลังกลายเป็นคู่แข่งโดยตรงของระบบชำระเงินแบบดั้งเดิม หลังมีการประมวลผลธุรกรรมรวมกว่า 46 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขนี้ สูงกว่า Visa ที่อยู่ที่ประมาณ 16 ล้านล้านดอลลาร์ และ เข้าใกล้ระบบ Automated Clearing House (ACH) ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่ารวม 87 ล้านล้านดอลลาร์
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Stablecoin นั้นมาจากการใช้งานจริงที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งในภาคธุรกิจ การโอนเงินระหว่างประเทศ และตลาดคริปโตเอง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและละตินอเมริกา ที่ผู้ใช้หันมาพึ่ง Stablecoin เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของค่าเงินภายในประเทศและค่าธรรมเนียมธนาคารที่สูง
ในปัจจุบัน Stablecoin ชั้นนำอย่าง Tether ( USDT) และ USD Coin (USDC) ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 90% โดยมีมูลค่ารวมของเหรียญหมุนเวียนมากกว่า 160,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์ ขณะเดียวกัน โครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชน เช่น Ethereum, Tron และ Solana ก็ช่วยให้การโอน Stablecoin ทำได้รวดเร็วและต้นทุนต่ำยิ่งขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาคการเงินดิจิทัลมองว่าแนวโน้มนี้สะท้อนถึง “จุดเปลี่ยนของระบบการเงินโลก” ที่กำลังขยับจากเครือข่ายแบบปิดของสถาบันการเงิน ไปสู่ระบบเปิดที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยเฉพาะในช่วงที่หลายประเทศเริ่มพิจารณากรอบกฎหมายสำหรับ Stablecoin เพื่อรองรับการใช้งานในเชิงพาณิชย์และระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ หากอัตราการเติบโตยังคงดำเนินต่อไปในระดับปัจจุบัน มีความเป็นไปได้สูงว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า Stablecoin อาจกลายเป็นระบบการชำระเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าเครือข่ายดั้งเดิมทั้งหมด ทั้ง Visa, Mastercard และ ACH อย่างเป็นทางการ

