ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ประกาศเมื่อวันพุธว่า จะยุติการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening หรือ QT) ที่มีมูลค่า 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ หลังจากพบหลักฐานชัดเจนว่าสภาพคล่องในตลาดเงินได้เริ่มตึงตัว และระดับเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์เริ่มลดลง

เปลี่ยนกลยุทธ์-รักษาสภาพคล่อง
แถลงการณ์ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม Fed จะเปลี่ยนนโยบายจากการปล่อยให้พันธบัตรรัฐบาลครบกำหนดไถ่ถอนแล้วนำเงินออกจากระบบ (สูงสุด 5 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน) ไปเป็นการ “Rollover” หรือนำเงินต้นจากพันธบัตรที่ครบกำหนดทั้งหมดกลับไปซื้อใหม่ เพื่อรักษาระดับการถือครองพันธบัตรรัฐบาลให้คงที่
นอกจากนี้ Fed จะยังคงปล่อยให้หลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยค้ำประกัน (MBS) หมดอายุลงตามแผนเดิม แต่จะนำเงินที่ได้ทั้งหมดจากการครบกำหนดไถ่ถอนของ MBS ไป “ลงทุนใหม่” ในตั๋วเงินคลังระยะสั้น (Treasury bills) แทน
สัญญาณเตือนในตลาดเงิน-เลี่ยงซ้ำรอยอดีต
การตัดสินใจ “หยุด QT” ครั้งนี้เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้อย่างกว้างขวาง และเกิดขึ้นท่ามกลางสัญญาณแรงกดดันที่ชัดเจนในตลาดเงิน อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเริ่มขยับสูงขึ้น และที่สำคัญคือ “Standing Repo Facility” (ช่องทางให้กู้ยืมเงินสดด่วนของ Fed) ได้กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากเงียบเหงาไปหลายปี โดยมียอดการใช้งานสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในวันพุธ
สำหรับนักวิเคราะห์แล้ว สัญญาณเหล่านี้บ่งชี้ว่า Fed กำลังเข้าใกล้จุดที่สภาพคล่องในระบบการเงินมี “เพียงพอ” ที่จะทำให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถควบคุมอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายได้อย่างมั่นคง Fed พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ดึงสภาพคล่องออกจากระบบมากเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียการควบคุมอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ดังที่เคยเกิดขึ้นชั่วขณะเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
อนาคต อาจกลับมา ‘ซื้อ’ พันธบัตรอีกครั้ง?
กระบวนการ QT นี้เริ่มต้นขึ้นเพื่อดึงสภาพคล่องมหาศาลที่ Fed อัดฉีดเข้าระบบในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้งบดุลพุ่งจาก 4 ล้านล้านดอลลาร์ ไปเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงกลางปี 2022
นักวิเคราะห์หลายคนคาดการณ์ว่า ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า Fed อาจจะต้องเริ่ม “กลับเข้ามาซื้อ” พันธบัตรอีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เพื่อรักษาระดับสภาพคล่องในระบบการเงินให้เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ
หยุด QT แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาด?
การที่ Fed ประกาศ “หยุด QT” (Quantitative Tightening) หรือยุติการดึงสภาพคล่องออกจากระบบ ถือเป็นสัญญาณที่สำคัญอย่างยิ่งต่อตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินทรัพย์เสี่ยง (Risk Assets) อย่างหุ้นและคริปโต
1. ‘หยุดสูบ’ สภาพคล่อง = ข่าวดีของสินทรัพย์เสี่ยง
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า QT คือกระบวนการที่ Fed “ดูด” สภาพคล่องหรือเงินออกจากระบบ โดยการปล่อยให้พันธบัตรที่ถืออยู่หมดอายุไปโดยไม่ซื้อกลับ การประกาศ “หยุด QT” จึงหมายความว่า Fed จะ “หยุดการดูดเงินออก” จากระบบ
แม้ว่านี่จะไม่ใช่การ “อัดฉีด” เงินใหม่เข้าระบบ (แบบที่เรียกว่า QE หรือ Quantitative Easing) แต่ก็เป็นการ “ยกเลิก” ปัจจัยลบสำคัญที่คอยกดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยงมาโดยตลอด เมื่อสภาพคล่องในระบบมีเสถียรภาพมากขึ้น (ไม่ถูกดึงออก) นักลงทุนก็จะมีความกล้าที่จะโยกย้ายเงินทุนกลับเข้ามาในสินทรัพย์ที่เสี่ยงกว่าอย่างหุ้นเทคโนโลยีและ Bitcoin มากขึ้น
2. ลดแรงกดดันในตลาดเงิน-หนุน ‘Risk-On’
สาเหตุหลักที่ Fed ต้องหยุด QT มักจะมาจากสัญญาณ “ความตึงเครียด” ในตลาดเงินระยะสั้น (Money Markets) เช่น อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมข้ามคืน (Repo Rate) ที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าเงินสดในระบบธนาคารเริ่ม “ตึง” หรือขาดแคลน
การหยุด QT จะช่วยลดแรงกดดันในส่วนนี้ ทำให้ระบบธนาคารมีเสถียรภาพมากขึ้น เมื่อตลาดการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็จะฟื้นตัว และส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (Risk-On Sentiment) โดยตรง
3. สัญญาณเชิงนโยบาย Fed เปลี่ยนเกียร์?
โดยสรุป การหยุด QT ถูกมองว่าเป็นท่าทีที่ “ผ่อนคลาย” ลง (Dovish Pivot) หรืออย่างน้อยก็คือ “เข้มงวดน้อยลง” (Less Hawkish) มันเป็นการส่งสัญญาณจาก Fed ว่า “การคุมเข้มนโยบายการเงินในส่วนของงบดุลได้สิ้นสุดลงแล้ว” สำหรับตลาดคริปโตและหุ้นที่อ่อนไหวต่อสภาพคล่องอย่างมาก นี่จึงถือเป็นข่าวดีที่ช่วยลดแรงกดดันและอาจเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาฟื้นตัวได้ในระยะต่อไป
ที่มา: reuters

