Michael Saylor ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริษัท MicroStrategy ได้ทวีตข้อความสุดอบอุ่น “ขอบคุณ Satoshi” เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 17 ปีของ Bitcoin Whitepaper ที่เปลี่ยนโฉมโลกการเงินไปตลอดกาล
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2008 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน Satoshi Nakamoto ได้เผยแพร่เอกสารความยาว 9 หน้า ที่บรรยายแนวคิดเรื่อง “เงินดิจิทัลแบบกระจายศูนย์” ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนสามารถโอนมูลค่าให้กันโดยไม่ต้องพึ่งพาธนาคารหรือหน่วยงานกลาง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ Bitcoin และระบบการเงินรูปแบบใหม่ที่เรารู้จักกันในวันนี้
MicroStrategy ร่วมฉลองวันเกิดของ Bitcoin
บัญชี Official ของบริษัท MicroStrategy ได้โพสต์ข้อความในวันครบรอบว่า
“เมื่อ 17 ปีก่อน เวลา 14:10 น. ตามเวลา EDT Satoshi Nakamoto ได้จุดประกายไฟแห่งการปฏิวัติในโลกไซเบอร์ สุขสันต์วัน Bitcoin Whitepaper”
พร้อมกับ Saylor ที่รีทวีตข้อความดังกล่าว พร้อมเขียนสั้น ๆ ว่า “ขอบคุณ Satoshi”
ข้อความนี้ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากชุมชนคริปโตทั่วโลก ซึ่งต่างตระหนักดีว่า Whitepaper นี้คือ “รากฐานของทุกสิ่ง” ที่ทำให้คริปโตเคอร์เรนซี กลไก Blockchain และเศรษฐกิจแบบกระจายศูนย์หรือ Decentralized ถือกำเนิดขึ้น
17 ปีแห่งนวัตกรรมบนรากฐานของ Bitcoin
นับตั้งแต่วันนั้น โลกคริปโตได้เติบโตอย่างมหาศาล จากแนวคิดการโอนมูลค่าโดยไม่ต้องพึ่งธนาคาร กลายมาเป็นระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ครอบคลุม DeFi, NFT, และ Web3 ซึ่งทั้งหมดต่างตั้งอยู่บนหลักการเดียวกับที่ Satoshi วางไว้ใน Whitepaper ฉบับนั้น
Bitcoin ไม่เพียงเป็น “สินทรัพย์ทางเลือก” อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น สินทรัพย์สำรองขององค์กรระดับโลก รวมถึง MicroStrategy ที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุดในโลก
MicroStrategy ทำกำไร BTC มหาศาล ยืนยันสถานะ “คลัง Bitcoin แห่งแรกของโลก”
การเฉลิมฉลองครบรอบ Bitcoin Whitepaper ยังเกิดขึ้นพร้อมกับช่วงที่ MicroStrategy ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพลังของกลยุทธ์การลงทุนใน Bitcoin ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
บริษัทเปิดเผยว่า ปัจจุบันถือครอง 640,808 BTC หลังจากระดมทุนเพิ่มอีก 20,000 ล้านดอลลาร์ ผ่านตลาดทุน โดยมีกำไรจากการถือครอง Bitcoin กว่า 13,000 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 26% จากปีก่อนหน้า
MicroStrategy ยังคงตั้งเป้าผลกำไรจากการดำเนินงานทั้งปีที่ 34,000 ล้านดอลลาร์ และคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ราว 24,000 ล้านดอลลาร์ หากราคา Bitcoin แตะระดับเป้าหมาย 1.5 ล้านดอลลาร์ ภายในสิ้นปีนี้
Source: Micheal Saylor