Ray Dalio อภิมหาเศรษฐีชื่อดังล่าสุดได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ของเขาว่า ทำไมการพิมพ์เงินอัดฉีดเข้าระบบ (QE) ของเฟดในอนาคตอันใกล้จะไม่ได้เป็นกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นแต่เป็นการเร่งให้เกิดภาวะฟองสบู่
ปัจจุบัน Fed มีการยืนยันออกมาแล้วว่า พวกเขาจะเริ่มยุติการ QT ในวันที่ 1 ธันวาคม 2025 ซึ่งหลายฝ่ายต่างเชื่อมั่นว่าทางธนาคารกลางจะเริ่มมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม Dalio มองว่าการลดความตึงเครียดของนโยบายการเงินในครั้งนี้กำลังทำให้ภาวะฟองสบู่ของเศรษฐกิจมาเร็วขึ้น และทำให้ราคาสินทรัพย์พุ่งอย่างรุนแรง ซึ่งแทนที่มันจะดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี Dalio เตือนว่าเรากำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของวัฏจักรเศรษฐกิจ 75 ปี
ตามปกติแล้วเฟดจะทำการลดอัตราดอกเบี้ยก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัว และราคาสินทรัพย์เริ่มตกต่ำ ประกอบกับอัตราการว่างงานที่สูง และการปล่อยสินเชื่อหยุดชะงัก เหมือนเหตุการณ์ในช่วง Great Depression เมื่อปี 1930 หรือ วิกฤตซับไพรม์ในปี 2008
แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบันของเฟดนั้นกลับไม่เข้าเงื่อนไขด้านบน เพราะอัตราการว่างงานยังไม่สูงมากขนาดนั้น เศราฐกิจก็ยังเติบโต ส่วนราคาสินทรัพย์ก็ยังคงสูง
ดังนั้น เขาจึงมองว่านี่คือช่วงสุดท้ายของระบบเศรษฐกิจที่การแบกหนี้มากเกินไป และมัน “อันตรายมาก”
Dalio มองว่า นโยบายด้านการคลังของรัฐบาลในขณะนี้ มีการกระตุ้นสูงมากเพราะรัฐมีหนี้คงค้างอยู่มหาศาล อีกทั้งยังมีการขาดดุลงบประมาณครั้งใหญ่ ซึ่งมาจากการออกพันธบัตรจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ตราสารหนี้ระยะสั้น
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้การ QE จะกลายเป็นการ อัดฉีดเงินเข้าสู่หนี้ของรัฐบาล อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่าการเป็นเพียงการเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบภาคเอกชน
อย่างไรก็ตามการกระทำเช่นนี้จะทำให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดทอนมูลค่าของสกุลเงินซึ่งเป็นผลดีต่อสินทรัพย์ที่เป็นแหล่งสะสมมูลค่าเช่น Bitcoin และทองคำ โดยมันถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้เอาตัวรอดในสถานการณ์เช่นนี้
ปัจจุบัน Fed ยังคงไม่ได้ให้คำตอบแน่ชัดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งหรือไม่ในเดือนธันวาคมโดยให้เหตุผลว่าทางหน่วยงานขาดข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์เนื่องจากการปิดตัวของรัฐบาล ทว่า นักลงทุนกว่า 69% ยังคงเชื่อว่าเฟดจะยังคงลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
ที่มา : Cointelegraph