<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เด็กต่ำกว่า 15 ถือ Bitcoin ได้ไหม? เมื่อกฎหมายไทยอนุญาตให้ผู้เยาว์ถือหุ้นใหญ่

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักจากกรณีการไอพีโอเข้าตลาดหุ้นของบริษัท บมจ.กลุ่มสมอทอง (SMO) ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบและพลังงานชีวภาพ

ที่น่าสนใจเลยก็คือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทกลับเป็นเด็กชายวัย 15 ปี ด้วยสัดส่วนถือครองหุ้นกว่า 10.48% หลังการ IPO คิดเป็นมูลค่ากว่าพันล้านบาท ทำให้วงการลงทุนไทยเริ่มฉุกคิดและกลับมาตั้งคำถามอีกครั้งถึงการที่กฎหมายไทยอนุญาตให้ผู้เยาว์ “ถือครอง” หุ้นได้อย่างสมบูรณ์ ตราบใดที่มีผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้ใช้สิทธิ์แทน

กรณีนี้ไม่ใช่แค่ SMO เท่านั้น การตรวจสอบข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่ามีผู้เยาว์ติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจดทะเบียนอื่นๆ อีกหลายสิบราย เช่น AJ, ARIN, SST, MOTHER ,PATO SMIT, และ SONIC ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการวางแผนถ่ายทอดทรัพย์สินภายในครอบครัว โดยผู้ปกครองจะเป็นผู้บริหารจัดการหุ้นเหล่านั้นจนกว่าบุตรหลานจะบรรลุนิติภาวะ

ผู้เยาว์ถือ Bitcoin ได้ไหม?

ทั้งนี้ แม้ว่ากฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ไทยจะระบุให้ผู้เยาว์สามารถถือหุ้นได้โดยไม่มีข้อจำกัดอายุ แต่สถานการณ์ของสินทรัพย์ดิจิทัลมีข้อกำหนดที่เข้มงวดกว่า 

ตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 และประกาศของสำนักงาน ก.ล.ต. กำหนดว่า ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่สามารถเปิดบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านศูนย์ซื้อขายที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทยได้

ขณะเดียวกันผู้ที่มีอายุ 18-20 ปี สามารถเปิดบัญชีได้ แต่ต้องมี “ความยินยอมจากผู้ปกครอง” และผู้ปกครองต้องให้เอกสารยืนยันตัวตนด้วย ซึ่งแตกต่างจากการถือหุ้นที่ผู้เยาว์อายุเท่าไหร่ก็ถือได้ตั้งแต่แรกเกิด โดยมีผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้ใช้สิทธิ์

สิ่งนี้หมายความว่า ตามกฎหมายไทยแล้ว ผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์จะไม่สามารถเปิดบัญชีเพื่อถือครอง Bitcoin หรือคริปโตสกุลอื่นๆ ได้ แม้ผู้ปกครองจะให้ความยินยอมก็ตาม โดยนโยบายนี้ตั้งอยู่บนหลักการคุ้มครองผู้เยาว์จากความเสี่ยงสูงของตลาดคริปโต 

กรณี Self-Custody: พื้นที่สีเทาที่น่าสนใจ

แม้กฎหมายจะทำการห้ามผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปีเปิดบัญชีกับศูนย์ซื้อขายที่ได้รับอนุญาต แต่จากการค้นคว้าเบื้องต้น กฎหมายในตอนนี้ยังไม่ได้ห้ามการ “ถือครอง” คริปโตในรูปแบบ Self-Custody (การเก็บในกระเป๋าส่วนตัว) โดยตรง

นั่นเองจึงทำให้ในทางเทคนิคแล้ว ถ้าพ่อแม่โอน Bitcoin ให้ลูกอายุ 10 ปีเก็บไว้ใน Hardware Wallet ก็ไม่มีกฎหมายใดมาห้ามโดยตรง เพราะไม่ได้ผ่านตัวกลางที่ต้องทำ KYC เพื่อยืนยันตัวตน

อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็เหมือนกับการที่พ่อแม่ซื้อทองคำมาเก็บไว้ในตู้เซฟเพื่อเก็บเป็นมรดกให้ลูกหลานในอนาคต 

บทเรียนจากต่างประเทศ

ในสหรัฐอเมริกา ผู้เยาว์ไม่สามารถเปิดบัญชีคริปโตด้วยตนเองได้เช่นกัน แต่มีแพลตฟอร์มที่เปิดให้บริการ “Custodial Account” ที่ผู้ปกครองเปิดและดูแลให้ลูก โดยเมื่อบรรลุนิติภาวะจึงโอนความเป็นเจ้าของให้ เช่น Coinbase มี Coinbase Custodial Account ที่ให้ผู้ปกครองสามารถซื้อคริปโตให้ลูกได้ในลักษณะคล้ายบัญชีเงินฝากเพื่อการศึกษา

ถึงเวลาปรับกฎหมายให้สอดคล้องกัน

กรณีของเด็กที่ถือหุ้นมูลค่าพันล้านบาทตั้งแต่อายุ 15 ปี แต่ไม่สามารถเปิดบัญชีซื้อ Bitcoin ได้อย่างถูกกฎหมายจนกว่าจะอายุครบ 18 ปี สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องในกฎหมายที่อาจต้องได้รับการทบทวน

จริงอยู่ว่าหุ้นเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานอย่างเข้มงวด แต่คริปโต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Bitcoin เองก็เป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกฎหมายเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะยังไม่รัดกุมเท่าหุ้น

ดังนั้นถ้าหากคริปโตเคอร์เรนซีจะเป็นอนาคตของโลกการเงินอย่างแท้จริงแล้วนั้นทางออกที่สมดุลน่าจะเป็นการให้ผู้เยาว์ทุกอายุสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลได้ภายใต้การดูแลของผู้ปกครอง เช่นเดียวกับหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ โดยมีกรอบที่เข้มงวด มีการศึกษา และจำกัดความเสี่ยง ไม่ใช่การกีดกันตามอายุ ซึ่งอาจผลักดันให้เกิดการหลบเลี่ยงในช่องทางที่อันตรายกว่า

ในโลกที่ Blockchain กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ตั้งแต่การเงิน ห่วงโซ่อุปทาน ไปจนถึงเอกสารสิทธิ์ต่างๆ การให้ Gen Z และ Gen Alpha ได้เรียนรู้และเข้าใจเทคโนโลยีนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย อาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับอนาคต

สุดท้ายนี้ คำถามไม่ใช่ว่า “ควรให้เด็กถือคริปโตหรือไม่” แต่คือเราจะให้เด็กเรียนรู้เทคโนโลยีการเงินอนาคตอย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของผู้ปกครองได้อย่างไร


อ้างอิง : Bitkub , กรุงเทพธุรกิจ