Ethereum Foundation (EF) เพิ่งเปิดตัวข้อเสนอใหม่ชื่อ Ethereum Interop Layer (EIL) เพื่อมุ่งแก้ไขปัญหาที่สะสมมานานในระบบนิเวศของ Layer 2 โดยเฉพาะปัญหาหลักคือ สภาพคล่องที่กระจัดกระจาย, ความจำเป็นในการใช้ bridges หลายตัว, การต้องมีวอลเล็ตเฉพาะเชน, และความยุ่งยากรวมถึงความเสี่ยงในการข้ามเชน แม้ว่า Ethereum จะสามารถปรับขนาดได้ดีขึ้นจริง แต่ผู้ใช้กลับต้องเผชิญกับ “ความซับซ้อนแบบใหม่” ที่ทำให้การใช้งานยากขึ้นแทนที่จะง่ายขึ้น
ในบล็อกโพสต์ที่เป็นทางการ Ethereum Foundation ระบุว่า เป้าหมายหลักของ Ethereum Interop Layer คือ การลดความแบ่งแยกของ Layer 2 เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้สึกเหมือนกำลังใช้งานอยู่บนเชนเดียวกัน แม้จะยังคงรักษาหลักการกระจายศูนย์และความปลอดภัยแบบ Trust-minimized ไว้
Ethereum Foundation ยอมรับว่า L2 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมากในด้านความเร็ว และค่าธรรมเนียมถูกลงมาก แต่ก็ได้สร้างความยุ่งยากตามมา เช่น การต้องพึ่งพา Bridges/Relayers/Solvers, มีความเสี่ยงเพิ่มเติม, ภาระทางความคิดที่สูงขึ้น, และมีความเสี่ยงในการถูกเซ็นเซอร์ที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งข้อเสนอใหม่ EIL จะพยายามแก้ไขทั้งหมดนี้ ด้วยการทำให้ผู้ใช้งานสามารถลงนามธุรกรรมข้าม L2 เพียงครั้งเดียว โดยไม่ต้องเพิ่ม Trust ใหม่ ๆ เข้ามาในระบบ
โปรเจกต์นี้ นำโดยทีมผู้พัฒนามาตรฐาน ERC-4337 และใช้ Account Abstraction (AA) เป็นแกนหลัก ซึ่งผู้ใช้งานจะเป็นคน “เริ่มต้น” และ “สิ้นสุด” ธุรกรรมข้าม L2 ได้เองโดยตรงจากวอลเล็ต โดยไม่จำเป็นต้องผ่าน Relayers และ Solvers อีกต่อไป ซึ่งทุกอย่างจะดำเนินการภายใต้ Ethereum Security Model
Ethereum Foundation กล่าวว่า EIL คือ “เลเยอร์ Interoperability แบบใหม่ที่ทำให้ L2 ทั้งหมดรวมกันภายใต้ความปลอดภัยของ Ethereum เอง”
โดยเปรียบเทียบ EIL กับ HTTP ในยุคอินเทอร์เน็ตแรกเริ่ม ว่า ก่อนมี HTTP ผู้ใช้งานต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ทีละตัว แต่ไม่สามารถใช้งานแบบไร้รอยต่อได้ แต่ HTTP ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเว็บเดียวกัน ซึ่ง EIL ตั้งใจจะทำแบบเดียวกันกับ L2 บน Ethereum โดยทำให้วอลเล็ตของผู้ใช้งาน “ทำงานเหมือนเบราว์เซอร์” ที่สามารถเดินข้าม L2 ได้อย่างลื่นไหลและมีประสิทธิภาพ
Ethereum Interop Layer ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขสถาปัตยกรรมหลักของ L2 แต่จะทำหน้าที่เป็นอะแดปเตอร์กลางที่ช่วยให้ L2 ต่าง ๆ สามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นหนึ่งเดียว
ซึ่งชุมชนบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X ให้การตอบรับที่ดีมากต่อข้อเสนอนี้ โดยเฉพาะผู้ใช้งานที่ “เบื่อหน่ายกับค่าธรรมเนียมบริดจ์ที่สูง”
แต่หาก Ethereum Interop Layer ถูกนำมาใช้เต็มรูปแบบ ธุรกรรมข้าม Layer 2 จะไม่ต้องพึ่งพา Relayers, Solvers และไม่ต้องจ่ายค่าบริการส่วนกลางอีกต่อไป เนื่องจากหน้าที่การทำงานจะถูกย้ายไปอยู่ในมือของผู้ใช้งาน และ Smart Wallet อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งหมายความว่า แพลตฟอร์มที่เคยหารายได้จากบริการ Bridging, Relaying, หรือ Solving อาจจะต้อง ปรับตัว, เปลี่ยนโมเดลธุรกิจ, หรืออาจถึงขั้น “สูญพันธุ์” เลยก็ได้ เพราะปริมาณธุรกรรมที่เคยมีอาจหายไปกว่า 80%-90%
ที่มา : cryptopolitan

