สำนักข่าว Bloomberg ได้เปิดเผยรายละเอียดของ ร่างแผนสันติภาพ 28 ข้อ ที่จัดทำร่วมกันระหว่างคณทูตของสหรัฐฯ และรัสเซีย ซึ่งเนื้อหาภายในสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วยุโรป เพราะเงื่อนไขส่วนใหญ่ดูเหมือนจะเป็นการตามใจปูตินแทบทุกอย่าง โดยแลกกับการยุติสงครามที่ยืดเยื้อ
เงื่อนไขสุดโหด ตัดแผ่นดิน-ห้ามเข้า NATO
ภายใต้เงื่อนไขของแผนนี้ ยูเครนตกอยู่ในที่นั่งลำบากที่สุด โดยถูกบีบคั้นด้วยข้อเสนอที่แทบจะรับไม่ได้
- เสียดินแดนถาวร ยูเครนต้องยอมรับให้แคว้นไครเมีย, ลูฮันสก์ และโดเนตสก์ ตกเป็นของรัสเซียในทางพฤตินัย (De facto) ซึ่งสหรัฐฯ ก็จะให้การรับรองด้วย
- ปิดประตู NATO ยูเครนต้องแก้รัฐธรรมนูญเพื่อระบุว่าจะ “ไม่เข้าร่วมกลุ่ม NATO” อย่างเด็ดขาด
- จำกัดกำลังทหาร ต้องจำกัดขนาดกองทัพ และต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 100 วัน
สหรัฐฯ-รัสเซีย วิน-วิน แบ่งเค้กเศรษฐกิจ
ในขณะที่ยูเครนเสียผลประโยชน์ ร่างแผนนี้กลับระบุผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียไว้อย่างชัดเจนในสไตล์นักธุรกิจของทรัมป์
- รัสเซีย จะได้รับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร (Sanctions) ตามระยะเวลา และได้รับเชิญกลับเข้ากลุ่ม G8 เพื่อจบยุคแห่งการถูกโดดเดี่ยว
- สหรัฐฯ จะได้รับสิทธิ์ในการนำเงินสินทรัพย์รัสเซียที่ถูกอายัดไว้ 1 แสนล้านดอลลาร์ มาใช้ในการฟื้นฟูยูเครน (ภายใต้การนำของสหรัฐฯ) โดยสหรัฐฯ จะได้รับ “ส่วนแบ่งกำไร 50%” จากการลงทุนและการฟื้นฟูประเทศ รวมถึงจะได้เข้าเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับรัสเซียทันทีที่ยกเลิกคว่ำบาตร
“เจ็บปวดที่มีคนตัดสินใจแทนเรา”
แม้เซเลนสกีจะพยายามรักษาน้ำใจด้วยการกล่าว “ขอบคุณความพยายามของประธานาธิบดีทรัมป์” หลังการหารือกับนายพลระดับสูงของสหรัฐฯ (นำโดย Dan Driscoll และ Gen Randy George) ที่กรุงเคียฟ แต่ความไม่พอใจในยุโรปและยูเครนเริ่มปะทุขึ้น
Lisa Yasko ส.ส. ยูเครน ให้สัมภาษณ์กับ BBC ด้วยความอัดอั้นว่า “ดูเหมือนมีใครบางคนอยากจะตัดสินชะตาชีวิตแทนเรา… และนั่นเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากสำหรับชาวยูเครน” สอดคล้องกับ Kaja Kallas หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของ EU ที่เตือนว่าแผนสันติภาพใดๆ จะสำเร็จไม่ได้หากปราศจากชาวยูเครนและยุโรปบนโต๊ะเจรจา
ทำเนียบขาวหนุนเต็มที่-พันธมิตรค้านหัวชนฝา
แผนดังกล่าวถูกร่างขึ้นโดย Steve Witkoff ทูตพิเศษของทรัมป์ และ Kirill Dmitriev ทูตของปูติน ซึ่งทางทำเนียบขาว โดยโฆษก Karoline Leavitt ยืนยันว่าประธานาธิบดีทรัมป์สนับสนุนแผนนี้ โดยมองว่าเป็น “แผนที่ดีและยอมรับได้สำหรับทั้งสองฝ่าย”
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฝั่งยุโรปแสดงท่าทีต่อต้านทันที นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Keir Starmer และ Kaja Kallas นักการทูตระดับสูงของยุโรป ย้ำจุดยืนเดิมว่า “อนาคตของยูเครน ต้องให้ชาวยูเครนเป็นคนตัดสิน” และสันติภาพที่แท้จริงต้องได้รับความยินยอมจากกรุงเคียฟ ไม่ใช่การมัดมือชก
ขณะนี้ ประธานาธิบดีเซเลนสกีระบุว่ากำลังพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว แต่ด้วยเงื่อนไขที่เสียเปรียบมหาศาล จึงเป็นที่น่าจับตาว่าเขาจะมีอำนาจต่อรองได้มากแค่ไหน เมื่อมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ดูเหมือนจะเลือกข้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากกว่าความมั่นคงของพันธมิตร
เดิมพันสูงท่ามกลางซากปรักหักพัง
การเร่งเครื่องดันแผนสันติภาพของทรัมป์ (ซึ่งรวมถึงการพยายามจัดประชุมซัมมิตกับปูตินที่อลาสก้า) เกิดขึ้นในขณะที่สงครามกำลังจะเข้าสู่ปีที่ 4 และความสูญเสียยังคงเกิดขึ้นรายวัน ล่าสุดขีปนาวุธรัสเซียเพิ่งถล่มอะพาร์ตเมนต์ในเมือง Ternopil ทางตะวันตกของยูเครน คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 26 ศพ และสูญหายอีก 17 ราย ซึ่งเซเลนสกีใช้เหตุการณ์นี้ย้ำเตือนโลกว่า ยูเครนต้องการ “สันติภาพที่มีเกียรติ” ไม่ใช่การยอมจำนนเพื่อแลกกับการหยุดยิงเพียงชั่วคราว

