ช่วงวันหยุดที่ผ่านมา กระแสต่อต้าน JPMorgan ปะทุขึ้นอย่างหนัก หลังชุมชน Bitcoin เดือดจัดกับรายงานของธนาคารยักษ์ใหญ่แห่งนี้ ที่ระบุว่า บริษัทคลังสำรอง คริปโทฯ รวมถึง Strategy มีโอกาสสูงที่จะถูกถอดออกจากดัชนีสำคัญของ Morgan Stanley Capital International (MSCI) ภายในเดือนมกราคม 2026
รายงานดังกล่าวถูกเผยแพร่โดยนักวิเคราะห์ของ JP Morgan ทำให้ชุมชน Bitcoin มองว่า นี่คือสัญญาณเชิงลบที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทที่มี BTC อยู่ในงบดุลจำนวนมาก จนเกิดการเรียกร้องให้ “บอยคอต JP Morgan” พร้อมตั้งคำถามถึงแรงจูงใจเบื้องหลังรายงานฉบับนี้
หนึ่งในคนดังที่ออกมาเคลื่อไหวคือ Grant Cardone ที่ประกาศชัดว่า เขาได้ถอนเงินกว่า 20 ล้านดอลลาร์ ออกจาก Chase ซึ่งเป็นธนาคารลูกของ JP Morgan และกำลังฟ้องร้องสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่รายนี้
ขณะที่ Max Keiser ก็ส่งสัญญาณแรงไม่แพ้กันด้วยประโยคที่สะเทือนวอลล์สตรีทว่า “ทุบ JP Morgan แล้วซื้อ Strategy กับ BTC” ยิ่งทำให้กระแสคแบบยิ่งลุกลามอย่างรวดเร็ว
ชุมชน Bitcoin มองว่า หาก MSCI ทำการตัดบริษัทถือคริปโทฯ ออกจากดัชนีจริง จะกลายเป็นการ “บีบให้หุ้น MSTR ถูกเทขายโดยอัตโนมัติ” จากกองทุน Passive ที่ต้องถือสินทรัพย์ตามดัชนี ส่งผลให้ความกดดันต่อราคาบริษัทเหล่านั้น รวมถึงราคา Bitcoin รุนแรงยิ่งขึ้น และอาจนำไปสู่ความปั่นป่วนในตลาดคริปโตเป็นวงกว้าง
ทางด้าน Michael Saylor โต้กลับ MSCI ว่า “Strategy ไม่ใช่กองทุน ทรัสต์ หรือบริษัทโฮลดิ้งที่ถือครอง Bitcoin เอาไว้เฉยๆ แต่เป็นบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจจริง ประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ ธุรกิจซอฟต์แวร์มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ และธุรกิจการเงินที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน”
เกณฑ์ใหม่ของ MSCI ที่เตรียมบังคับใช้ ซึ่งระบุว่า บริษัทใดถือครองคริปโทฯ เกิน 50% ของงบดุลจะถูกถอดจากดัชนีทันที ทำให้บริษัทคลังคริปโทฯ อยู่ในสถานะที่ถูกบีบให้เลือกข้าง ระหว่างลดสัดส่วนการถือครอง Bitcoin หรือยอมสูญเสียเงินทุนแบบ Passive Flow จำนวนมหาศาล
ด้านนักวิเคราะห์เตือนว่า หากเกิดแรงเทขายบริษัทคลังสำรองคริปโทฯ พร้อมกัน อาจทำให้ตลาดคริปโทเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง และสร้างแรงกดดันแบบโดมิโนที่ยากเกินกว่าจะควบคุม
ที่มา:cointelegraph
