แม้ว่า Bitcoin จะสามารถกลับมายืนที่ระดับ $90,000 ได้สำเร็จในวันนี้ แต่การทะยานขึ้นไปเหนือ $112,000 นั้นย่อมเป็นเส้นทางที่ท้าทาย อย่างไรก็ตาม ศักยภาพดังกล่าวยังคงเป็นไปได้ หากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 1-2 ปีข้างหน้าเป็นไปในทิศทางที่เอื้ออำนวย
ปัจจัยปี 2025
เริ่มต้นกันด้วย ปัจจัยขับเคลื่อนแรกจะมาจากสัญญาณเตือนเรื่อง เงินเฟ้อ ที่ชัดเจนขึ้น โดยสังเกตได้จากการกลับมามีทิศทางขาขึ้นของกองทุน iShares TIPS Bond ETF ได้กลับมามีทิศทางขาขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ทดสอบแนวรับที่ 110.50 ไปเมื่อวันพฤหัสบดี
การเคลื่อนไหวนี้บ่งชี้ว่านักลงทุนกำลังคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นผลดีต่อ Bitcoin ที่ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงที่โดดเด่น
นอกจากนี้ ตลาดก็กำลังจับตาความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อย่างใกล้ชิด ข้อมูลจาก CME FedWatch Tool ชี้ให้เห็นว่า นักเทรดให้น้ำหนักความน่าจะเป็นสูงถึง 84.7% ที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนถัดไป ถึงแม้ตัวเลขการจ้างงานจะออกมาดีเกินคาดก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น นักลงทุนยังเชื่อว่า Fed จะคงระดับอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับผ่อนคลาย (350-375 จุด) ไปจนถึงปีหน้า ซึ่งเป็นสัญญาณที่เป็นมิตรต่อสินทรัพย์เสี่ยงทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือคริปโตเคอร์เรนซีก็ตาม
ปัจจัยปี 2026
เมื่อเข้าสู่ปี 2026 ปัจจัยเชิงโครงสร้างจะเริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้น เริ่มจากการตัดสินใจเรื่อง Strategy ในวันที่ 15 มกราคม ว่าจะถูกถอดจากดัชนี MSCI USA หรือไม่ หาก Strategy สามารถรอดพ้นจากประเด็นนี้ไปได้ ย่อมสร้างความเชื่อมั่นครั้งใหญ่ให้กับตลาดในภาพรวม
นอกเหนือจากประเด็นเฉพาะรายแล้ว ด้านเศรษฐกิจมหภาคก็มีความเคลื่อนไหวที่อาจส่งผลดีต่อ Bitcoin ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนานาประเทศ หรือความคาดหวังที่นักลงทุนมีต่อ Fed ว่าจะเริ่มดำเนินการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) ซึ่งเป็นขั้นตอนถัดไปหลังกระบวนการลดงบดุล (QT) สิ้นสุดลงในวันที่ 1 ธันวาคม
ขณะเดียวกัน ความคืบหน้าทางด้าน กฎหมายและนโยบายสินทรัพย์ดิจิทัลของสหรัฐฯ ก็มีความชัดเจนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้ที่เราจะได้เห็นทั้งกฎหมายโครงสร้างตลาดที่ชัดเจน รวมถึงการพิจารณา จัดหา Bitcoin เข้าคลังทุนสำรอง Bitcoin แห่งสหรัฐฯ ในปี 2026
อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่เป้าหมายราคา $112,000 ย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ Bitcoin อาจต้องเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้นที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นแรงเทขายทำกำไร, ตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่สร้างความประหลาดใจ, ไปจนถึงการหมดอายุของสัญญาออปชันในธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นการปิดไตรมาส 4 และปิดปี 2025 ทำให้ความรุนแรงของตลาดในช่วงดังกล่าวอาจสูงกว่าปกติเป็นพิเศษ ดังนั้นนักลงทุนจึงควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางสู่จุดสูงสุดใหม่นี้ด้วย