นอกเหนือจากการอัปเกรด Fusaka ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนหน้าแล้ว ดูเหมือนว่าเครือข่าย Ethereum จะไม่ได้หยุดการพัฒนาอยู่แค่เพียงเท่านั้น ล่าสุด Vitalik Buterin ได้มีการเปิดเผยแผนการขยายขนาดเครือข่าย Ethereum ครั้งใหญ่สำหรับปี 2026 ออกมาแล้ว โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การท้าชนคู่แข่งในเรื่องของ “ความเร็ว” และ “ต้นทุน”
เมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้ออกมาเปิดเผยวิสัยทัศน์สำหรับการ “การเติบโตแบบเจาะจงเป้าหมาย” หรือ Targeted Growth โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่ม Gas Limit ขึ้นถึง 5 เท่าภายในปีหน้า ซึ่งถือเป็นการเดินหมากสำคัญเพื่อท้าชนคู่แข่งในเรื่องของความเร็วและต้นทุนโดยตรง

การเพิ่ม Gas Limit ก็เปรียบเสมือนการขยายขนาดท่อส่งข้อมูลให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เครือข่ายสามารถรองรับจำนวนธุรกรรมต่อวินาทีในหนึ่งบล็อกได้มากขึ้น ผลลัพธ์ที่จะตามมาคือ ปริมาณการประมวลผลของ Ethereum จะสูงขึ้นอย่างมหาศาล ในขณะเดียวกันก็เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยกดดันให้ค่าธรรมเนียมบนเครือข่าย Layer 2 ต่ำลงไปอีก
อย่างไรก็ตาม Vitalik ได้เสริมว่า การดำเนินการที่หนักหน่วงและไม่มีประสิทธิภาพ จะต้องแลกมาด้วยต้นทุนธุรกรรมที่สูงขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ Node ของเครือข่ายต้องทำงานหนักเกินไปจากภาระในการจัดเก็บข้อมูล
หากย้อนดูข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2025 จะพบว่า ปัจจุบัน Gas Limit ของ Ethereum อยู่ที่ 60 ล้านหน่วยต่อบล็อก ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปีที่แล้ว ตามข้อสังเกตของ Toni Wahrstätter นักวิจัยจาก Ethereum Foundation

ในปีนี้ Ethereum ประสบความสำเร็จในการเปิดใช้งานการอัปเกรด Pectra ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ Validator และความสามารถในการขยายขนาดของ Layer 2 อย่างเห็นได้ชัด และเป้าหมายสุดท้ายของปีนี้คือ การอัปเกรด Fusaka ที่กำลังจะมาถึงในเดือนหน้า เพื่อเพิ่ม Block Gas Limit และลดภาระงานของ Node ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Throughput และลดต้นทุน ก่อนที่จะไปปลดล็อกศักยภาพขั้นต่อไปในปีหน้า
คำถามคือ ทำไม Ethereum ถึงต้องเร่งเครื่องขยายขนาดเครือข่ายอย่างดุดันขนาดนี้ คำตอบคือ เพื่อไล่ตามและรักษาบัลลังก์ Smart Contract จาก Solana และเครือข่าย Layer 1 อื่นๆ
สาเหตุที่ทำให้ Ethereum ต้องเร่งเครื่องขยายขนาดเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะพวกเขาต้องการไล่ตามคู่แข่ง และรักษาบัลลังก์ Smart Contract จาก Solana และเครือข่าย Layer 1 อื่นๆ
แม้ Ethereum จะครองความได้เปรียบเรื่องความเชื่อมั่นจากสถาบัน และการกระจายศูนย์ที่ผ่านบททดสอบมาอย่างยาวนาน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า Solana ได้สร้างจุดยืนที่แข็งแกร่งในฐานะเชนที่ถูกที่สุดและเร็วที่สุด โดยเฉพาะในช่วงวัฏจักร Memecoin Supercycle ที่รายย่อยที่มีทุนน้อยก็สามารถเข้ามาเทรดได้ ในขณะที่ Ethereum เคยมีค่าธรรมเนียมสูงลิ่ว
แต่ช่องว่างนี้ ได้แคบลงอย่างรวดเร็วในปี 2024 ค่าธรรมเนียมเฉลี่ยของ Ethereum ลดลงเหลือประมาณ 5 ดอลลาร์ และในปี 2025 ด้วยอานิสงส์ของการอัปเกรด Pectra ทำให้ค่าธรรมเนียมลดลงต่ำกว่า 1 ดอลลาร์
โดยปัจจุบันค่าทำธุรกรรมบนเครือข่าย Ethereum อยู่ที่ประมาณ 0.31 ดอลลาร์ แม้จะยังสูงกว่า 0.0022 ดอลลาร์ของ Solana แต่แผนงานในปี 2026 ของ Vitalik น่าจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยปิดช่องว่างนี้ ทั้งในแง่ของต้นทุนและความเร็ว

ที่มา:ambcrypto

