Tether ผู้ออก Stablecoin เบอร์หนึ่งของโลกอย่าง USDT ได้ตัดสินใจระงับการดำเนินงานเหมืองขุด Bitcoin ในประเทศอุรุกวัยอย่างเป็นทางการแล้ว ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นจนทำให้การทำธุรกิจไม่คุ้มทุนอีกต่อไป ส่งผลให้บริษัทต้องปรับลดขนาดองค์กรและยุติบทบาทในพื้นที่ดังกล่าวลง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและมองหาโอกาสในพื้นที่ที่มีศักยภาพมากกว่า
แบกต้นทุนไม่ไหวจนต้องถอย
รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า Tether ได้แจ้งต่อกระทรวงแรงงานของอุรุกวัยถึงความจำเป็นในการยุติกิจกรรมการขุดและเลิกจ้างพนักงานจำนวน 30 คน จากทั้งหมด 38 คน โดยบริษัทชี้แจงว่าอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบันของอุรุกวัยนั้นอยู่ในระดับที่ “ไม่สามารถแข่งขันได้” ในทางเศรษฐศาสตร์สำหรับการทำเหมืองขุดขนาดใหญ่ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาลเพื่อรันเครื่องจักรประมวลผลตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากปัญหาเรื่องราคาพลังงานแล้ว ยังมีรายงานเกี่ยวกับข้อพิพาทที่ยืดเยื้อระหว่าง Tether กับ UTE หรือการไฟฟ้าของอุรุกวัย เกี่ยวกับหนี้สินค่าไฟฟ้ามูลค่าเกือบ 5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งประกอบด้วยค่าไฟค้างชำระและหนี้จากโครงการอื่นๆ แม้บริษัทจะเคยปฏิเสธข่าวลือเรื่องการถอนตัวเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ท้ายที่สุดแล้วแรงกดดันจากต้นทุนและปัญหาความขัดแย้งด้านสาธารณูปโภคก็ทำให้ยักษ์ใหญ่รายนี้ต้องยอมถอยในที่สุด
เบนเข็มสู่ดินแดนใหม่และพลังงานสีเขียว
แม้จะปิดฉากกิจการในอุรุกวัย แต่ Tether ยืนยันว่ายังคงมุ่งมั่นกับการลงทุนในภูมิภาคลาตินอเมริกาต่อไป โดยบริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปเน้นประเทศที่มีนโยบายเปิดกว้างและมีต้นทุนพลังงานที่เอื้ออำนวยมากกว่า อย่างเช่นการย้ายฐานไปลงทุนใน El Salvador ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เป็นมิตรกับ Bitcoin ที่สุดในโลก เพื่อสานต่อเป้าหมายในการเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานการขุดระดับโลก
การขยับตัวครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ใหม่ของ Paolo Ardoino ซีอีโอของ Tether ที่ต้องการผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้ขุด Bitcoin รายใหญ่ โดยได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการ “Volcano Energy” มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างฟาร์มขุดด้วยพลังงานหมุนเวียนจากแสงอาทิตย์และลม รวมถึงการเข้าซื้อหุ้นใน Adecoagro ยักษ์ใหญ่ด้านเกษตรกรรม เพื่อต่อยอดโมเดลการใช้พลังงานชีวมวลและพลังงานส่วนเกินจากการเกษตรมาใช้ในการขุดเหรียญแทนพลังงานไฟฟ้าที่มีต้นทุนสูง
ที่มา: tether