ตอนนี้เราเริ่มเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างตลาดคริปโตใน ยุโรป กับ เอเชีย โดยทั้งสองภูมิภาคกำลังมองคริปโตไปคนละทางกันอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่ฝั่งยุโรปกำลังเปิดกว้าง และให้การยอมรับคริปโตมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น การผ่านกฎหมาย MiCA ในขณะที่บางประเทศในเอเชียกลับเริ่มเข้มงวดและออกกฎหมายควบคุมคริปโตที่หนักกว่าเดิม ซึ่งการตัดสินใจที่แตกต่างกันนี้ กำลังจะส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ใช้งานคริปโตทั่วไป และอนาคตของอุตสาหกรรมคริปโตโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตอนนี้เกาหลีใต้ กำลังเร่งผลักดันการออกกฎหมายคริปโต ให้เข้มงวดขึ้นอย่างเร่งด่วนโดยมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ล่าสุดที่แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตชื่อดังอย่าง Upbit ถูกแฮ็ก และสูญเสียโทเคนบนเครือข่าย Solana ไปกว่า 104,000 ล้านวอน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
รัฐบาลเกาหลีใต้จึงเร่งออกกฎหมาย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิด “มาตรฐานความรับผิดชอบที่คล้ายกับธนาคาร” นั่นคือ ไม่ว่าความผิดพลาดจะเกิดขึ้นจากสาเหตุใดก็ตาม แม้ว่าจะไม่ใช่ความบกพร่องของแพลตฟอร์มโดยตรง แต่ผู้ใช้งานจะต้องได้รับเงินที่สูญเสียไปคืน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และเพิ่มความปลอดภัยให้กับนักลงทุน ซึ่งก่อนหน้านี้ มาตรฐานดังกล่าวใช้เฉพาะกับธนาคาร และบริษัทชำระเงินเท่านั้น
Lee Chan-jin ผู้ว่าการ FSS หน่วยงานกำกับดูแลของเกาหลีใต้ กล่าวถึงเหตุการณ์การแฮ็กครั้งล่าสุดว่า “เหตุการณ์แฮ็กครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ แต่หน่วยงานกำกับดูแล ก็ยังมีข้อจำกัดในการลงโทษ”
นอกจากปัญหาเรื่องการแฮ็กแล้ว เกาหลีใต้ยังประสบกับปัญหาอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมคริปโต เช่น ระบบล่มบ่อยครั้ง, การรายงานเหตุการณ์ผิดพลาดที่ล่าช้า, และกฎหมาย Stablecoin ที่ยังขาดความชัดเจน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ทำให้ความเคลื่อนไหวจากฝั่งเกาหลีใต้ในเรื่องการออกกฎระเบียบใหม่ ๆ กลายเป็นประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
สำหรับฝั่งยุโรปนั้น สถานการณ์กลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยกลุ่มธนาคารยักษ์ใหญ่ เช่น ธนาคาร BPCE ได้เปิดให้ลูกค้ากว่า 2 ล้านคน สามารถซื้อขาย Bitcoin, Ethereum, Solana, และ USDC ได้โดยตรง ภายในแอปพลิเคชันของธนาคาร ด้วยค่าธรรมเนียมที่ชัดเจน และมีระบบดูแลสินทรัพย์โดยบริษัท Hexarq ให้ ทำให้การใช้งานง่าย เหมือนแอปธนาคารทั่วไป และธนาคาร BPCE ก็ไม่ใช่รายแรก

ก่อนหน้านี้ธนาคารขนาดใหญ่ในยุโรปอย่าง BBVA และ Santander ในสเปน ได้เริ่มเปิดให้บริการซื้อขายคริปโตอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ขณะเดียวกันบริษัทฟินเทคในยุโรปก็สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ได้หลายล้านราย
การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของธนาคาร มีเป้าหมายหลักคือ การดึงดูดคนรุ่นใหม่ และป้องกันไม่ให้คนกลุ่มนี้หันไปใช้แต่แพลตฟอร์มคริปโตโดยเฉพาะ แต่ให้เข้ามาใช้บริการด้านการเงินและการลงทุนผ่านช่องทางของธนาคารด้วย
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางประเทศที่ยังไม่พร้อม เช่น โปแลนด์ ที่เพิ่งบล็อกร่างกฎหมายกำกับคริปโตของตนเอง ทำให้สวนทางกับกฎหมาย MiCA ของสหภาพยุโรป ส่วน อิตาลี ก็เดินหน้าเพิ่มกฎหมายคุ้มครองนักลงทุน ให้เข้มงวดกว่าเดิม
ที่มา : ambcrypto

