หน่วยงาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ (SEC) ประกาศปิดคดีสอบสวน Ondo Finance อย่างเป็นทางการ หลังคดีลากยาวมานานหลายปี และที่สำคัญคือ เคสนี้เป็นการปิดคดีโดยไม่ตั้งข้อกล่าวหาใด ๆ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบายคริปโตในยุคหลังรัฐบาลไบเดน ที่ก่อนหน้านี้ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดจนทำให้ทั้งอุตสาหกรรมสะเทือนหนัก
ฝั่ง Ondo เปิดเผยผลการสอบสวน โดยยืนยันว่า SEC ตรวจสอบสินทรัพย์โลกจริงแบบโทเคน (Tokenized RWA) ว่าปฎิบัติตามกฎหมายหลักทรัพย์หรือไม่ และตัวโทเคน ONDO เข้าข่ายหลักทรัพย์หรือไม่ ซึ่งผลสุดท้ายคือ ทั้งตัวผลิตภัณฑ์และตัวโทเคนไม่ได้ทำผิดกฎหมายใด ๆ
คดีนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2024 ซึ่งเป็นช่วงที่ SEC เปิดศึกกวาดล้างบริษัทคริปโตครั้งใหญ่ จนตลาดเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน หลายบริษัทล้มหาย กระดานเทรดปิดบริการ และโปรเจกต์จำนวนมากถูกเพ่งเล็ง รวมถึง Ondo ที่ตอนนั้นกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดโทเคนไนซ์พันธบัตรสหรัฐฯ และการนำหุ้นสหรัฐฯ มาแปลงเป็นโทเคนให้เข้าถึงง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทิศทางทั้งหมดเปลี่ยนแปลงไปหลังจากการแต่งตั้ง Paul Atkins มาเป็นประธาน SEC คนใหม่ ซึ่งเข้ามาปรับนโยบายจาก “ไล่ฟ้องทุกอย่าง” มาเป็น “เน้นความสมเหตุสมผล” ส่งผลให้คดีใหญ่ในวงการถูกยกเลิกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นคดี Coinbase ที่ถูกยกฟ้อง รวมถึงคดี Kraken ที่จบลงแบบไม่มีการปรับ ไม่รับผิด และไม่ต้องแก้โครงสร้างธุรกิจ นอกจากนี้ การสอบสวน Robinhood Crypto และ Uniswap Labs ก็ถูกปิดคดีไปอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน
แต่ไม่ใช่ว่าทุกคดีจะถูกปิดไปทั้งหมด เพราะฝั่งกระทรวงยุติธรรม (DoJ) ยังคงเดินหน้าคดี Tornado Cash โดย Roman Storm ถูกตัดสินว่า มีความผิดและเตรียมรับโทษจำคุก ขณะที่ผู้ร่วมก่อตั้งอีกคน Roman Semenov ยังหลบหนีต่อไป แม้มาตรการคว่ำบาตรโปรโตคอลจะถูกยกเลิกแล้วก็ตาม
ในมุมธุรกิจ Ondo ได้รับข่าวดีครั้งนี้ ในช่วงที่บริษัทกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ ‘ตลาดโทเคนไนเซชั่น’ ที่กำลังกลายเป็นเทรนด์หลักของวงการการเงินยุคใหม่
ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม Ondo Global Markets ให้ผู้ใช้นอกสหรัฐฯ เข้าถึงหุ้นและ ETF ของอเมริกามากกว่า 100 รายการในรูปแบบโทเคนที่รันอยู่บน Ethereum และเตรียมขยายไปยัง BNB Chain, Solana และ Ondo Chain พร้อมระบบค้ำประกันสินทรัพย์แบบ 1:1 ผ่านโบรกเกอร์ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ
ด้านยุโรป Ondo เพิ่งได้รับอนุมัติจากลิกเตนสไตน์ภายใต้กฎหมาย MiCA ทำให้สามารถให้บริการนักลงทุนกว่า 500 ล้านคนในเขตเศรษฐกิจยุโรปได้อย่างถูกกฎหมาย และในระดับโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทก็กำลังขยายผลิตภัณฑ์ USDY ไปยังเครือข่าย Stellar เพื่อเพิ่มทางเลือกด้านผลตอบแทนแบบออนเชนทั่วโลก
ขณะเดียวกัน SEC เองก็เริ่มหันมาศึกษาบทบาทของการโทเคนไนเซชั่นในการทำให้กระบวนการออกหลักทรัพย์ การซื้อขาย และการชำระบัญชีมีความทันสมัยมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเปลี่ยนผ่านสำคัญสำหรับวงการคริปโต
ที่มา:finance.yahoo