ปี 2025 ถูกคาดหวังว่า จะเป็น “ปีทองของคริปโต” แบบเต็มรูปแบบ เนื่องจาก ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาสู่ทำเนียบขาวพร้อมคำมั่นสัญญาว่า จะผ่อนคลายกฎหมายให้กับวงการคริปโต หลังจากที่ได้รับเงินสนับสนุนการหาเสียงเลือกตั้งจากแวดวงคริปโต
บรรดาสถาบันการเงินชั้นนำก็เริ่มเปิดใจรับคริปโตมากขึ้น ในช่วงแรกของปี 2025 ทุกอย่างดูดี ราคาคริปโตพุ่งขึ้น บริษัทคริปโตแห่ยื่นเอกสารเข้าตลาดหุ้นกันเป็นแถว ทรัมป์เองก็ได้ออกคำสั่งอภัยโทษ และถอนฟ้องคดีให้กับเหล่าผู้บริหารคริปโตตามที่สัญญาไว้
แต่แล้วตลาดคริปโตก็ผันผวนไม่ต่างจากรถไฟเหาะ ทำให้กลุ่มมหาเศรษฐีคริปโตระดับโลกต่างต้องเผชิญกับบททดสอบครั้งใหญ่ แม้ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมจะดูดี แต่ปัญหาด้านราคาที่ผันผวนรุนแรงในช่วงปลายปีกลับเป็นอุปสรรคสำคัญ ส่งผลให้มหาเศรษฐีคริปโตหลายราย มีมูลค่าทรัพย์สินในกระเป๋าลดลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี
นอกจากความผันผวนของราคาเหรียญแล้ว บรรดาเจ้าของแพลตฟอร์มยังต้องเผชิญกับราคาหุ้นบริษัทตัวเองที่ดิ่งลงอย่างหนัก ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น และความกังวลของนักลงทุนต่อความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจ
ในบทความนี้ ทางสยามบล็อกเชน เลยจะพาไปดูว่า มหาเศรษฐีคริปโตคนไหนจะเป็นผู้ชนะและใครเป็นผู้แพ้ในปี 2025 ตามข้อมูลจาก Bloomberg Billionaires Index ซึ่งเป็นการจัดอันดับมหาเศรษฐีของบลูมเบิร์ก ณ วันที่ 16 ธันวาคม
กลุ่มผู้ชนะ
Jeremy Allaire

ที่มาภาพ : businessinsider
เจเรมี อัลแลร์ จาก Circle สามารถทำเงินได้ดีมาก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินพุ่งขึ้น 149% นับจากครั้งแรกที่ Bloomberg ประเมินเมื่อเดือนมิถุนายน แม้มูลค่าทรัพย์สินจะร่วงลงไป 68% จากจุดสูงสุดแล้วก็ตาม
แต่ USDC ของ Circle ยังคงรักษาตำแหน่งสเตเบิลคอยน์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยมูลค่าเหรียญหมุนเวียนในระบบสูงถึง 7.7 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ บริษัทยังโชว์ความแข็งแกร่งด้วยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยมูลค่าบริษัทสูงถึง 6,900 ล้านดอลลาร์ พร้อมประกาศผลกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 ที่ 214 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดกว่า 200% เมื่อเทียบกับปีก่อน
Giancarlo Devasini

ที่มาภาพ : cryptorank
จานคาร์โล เดวาซินี ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Tether ถือเป็นผู้ชนะที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในปีนี้ โดยความมั่งคั่งของเขาพุ่งสูงขึ้นถึง 60% ตั้งแต่ต้นปี ผลักดันโดยการขยายตัวของเหรียญ USDT ที่มีปริมาณหมุนเวียนในตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 15% ส่งผลให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลคืนสู่เจ้าของได้รวมกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ Tether ยังสร้างความฮือฮาด้วยการเจรจาระดมทุนครั้งใหญ่ที่อาจดันมูลค่าบริษัทไปแตะระดับ 500,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากดีลนี้สำเร็จลุล่วง จะทำให้ทรัพย์สินของเดวาซินีทะยานขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 225,000 ล้านดอลลาร์
Mike Cagney

ที่มาภาพ : wsj
ไมค์ แคกนีย์ ผู้ก่อตั้ง Figure Technology และผู้ร่วมก่อตั้ง SoFi คือ อีกหนึ่งบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในปีนี้ โดยความมั่งคั่งของเขาพุ่งสูงขึ้นถึง 46% ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือนนับจากเดือนกันยายน
ปัจจัยหลักมาจากการที่ Figure Technology แพลตฟอร์มผู้ให้กู้รายใหญ่ที่นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยมูลค่าบริษัทสูงถึง 6,600 ล้านดอลลาร์
Mike Novogratz

ที่มาภาพ : businessinsider
ไมค์ โนโวกรัตซ์ อดีตนายธนาคารชื่อดังจาก Goldman Sachs และผู้ก่อตั้ง Galaxy Digital คืออีกหนึ่งผู้ชนะที่โดดเด่น โดยทรัพย์สินส่วนตัวของเขาพุ่งสูงขึ้นถึง 32% ในปีนี้ ปัจจัยหลักมาจากการที่ Galaxy Digital ประสบความสำเร็จอย่างสูงในบทบาทผู้จัดการเงินลงทุนคริปโตให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่มากกว่า 20 แห่ง ส่งผลให้รายได้รวมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 พุ่งทะยานขึ้นกว่า 200% หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 28,400 ล้านดอลลาร์
กลุ่มที่พอจะเอาตัวรอด
Barry Silbert

ที่มาภาพ : coindesk
แบร์รี ซิลเบิร์ต ผู้ก่อตั้ง Digital Currency Group (DCG) ยังคงรักษาสถานะความมั่งคั่งไว้ได้ โดยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 27% ในรอบปี แต่เขายังคงต้องแบกรับภาระจากคดีความที่ยืดเยื้อจากการล้มละลายของ Genesis บริษัทลูกในเครือ
ขณะเดียวกัน บริษัม Grayscale ซึ่งเป็นหัวหอกสำคัญของกลุ่ม DCG กำลังพยายามเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ทว่าผลประกอบการล่าสุดกลับแสดงให้เห็นถึงความท้าทายครั้งใหญ่ โดยรายได้ปรับตัวลดลง เนื่องจากการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดกองทุน ETF คริปโต ที่มีผู้เล่นยักษ์ใหญ่อย่าง BlackRock และ Fidelity เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด
นอกจากนี้ซิลเบิร์ต ยังได้เริ่มมองหาโอกาสใหม่ด้วยการเปิดตัวบริษัท Yuma Asset Management เพื่อรุกเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI บนบล็อกเชน สำหรับกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจเดิมที่กำลังถูกกดดัน
Brian Armstrong

ที่มาภาพ : fintechmagazine
แม้ว่าในปี 2025 Coinbase จะสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นบริษัทคริปโตรายแรกที่ถูกเพิ่มเข้าไปในดัชนี S&P 500 พร้อมรุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่อย่างตลาดพยากรณ์ผล (Prediction Markets) และสินทรัพย์ที่แปลงเป็นโทเค็น (Tokenized Assets) แต่ความมั่งคั่งของ ไบรอัน อาร์มสตรอง กลับเพิ่มขึ้นเพียง 2% เท่านั้น โดยราคาหุ้น COIN ยังคงเคลื่อนไหววนเวียนอยู่ใกล้ระดับเดียวกับช่วงต้นปี ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดและปริมาณการซื้อขายในไตรมาสสุดท้ายที่ชะลอตัวลง ทำให้นักลงทุนยังคงระมัดระวังต่อการเติบโตของบริษัทในระยะยาว แม้จะมีนโยบายเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยก็ตาม
Donald Trump & family, World Liberty Financial

ที่มาภาพ : dlnews
แม้ว่ามูลค่าสินทรัพย์โดยรวมของโดนัลด์ ทรัมป์ และครอบครัวในปี 2025 จะขยับขึ้นเพียง 1% แต่เบื้องหลังตัวเลขนี้กลับเต็มไปด้วยความผันผวนอย่างรุนแรงจากการกระโดดเข้าสู่โลกคริปโตอย่างเต็มตัว ผ่านโครงการอย่าง World Liberty Financial, American Bitcoin และเหรียญมีม Trump ซึ่งสร้างความตื่นตัวให้ตลาดในช่วงแรก ทว่าในเวลาต่อมาเหรียญเหล่านี้กลับเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนัก
โดย World Liberty ดิ่งลง 50%, American Bitcoin ร่วงถึง 82% และ Trump Memecoin ทรุดตัวกว่า 90% ส่งผลให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากต้องขาดทุนมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ครอบครัวทรัมป์กลับไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากนัก เนื่องจากมีข้อกำหนดทางกฎหมายที่จำกัดการขายเหรียญ (Lock-up period) ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งในท้ายที่สุด โครงการเหล่านี้ยังคงสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพย์สินของครอบครัวทรัมป์ได้รวมหลายร้อยล้านดอลลาร์ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเสี่ยงของสินทรัพย์ประเภทนี้
Changpeng Zhao, CEO ของ Binance

ที่มาภาพ : edition.cnn
ตัวเลขทรัพย์สินของ ฉางเผิง เจ้า (CZ) อาจจะหดตัวลง 5% ทว่าปี 2025 กลับถูกขนานนามว่าเป็นปีแห่งการเริ่มต้นใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา โดยเฉพาะในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา CZ ได้รับโอกาสครั้งสำคัญจากการได้รับอภัยโทษจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในคดีฟอกเงิน ซึ่งเป็นการปิดฉากปัญหาทางกฎหมายหลังจากที่เขาเคยรับโทษจำคุก 4 เดือนเต็ม
นอกจากนี้ Binance ยังมีความคืบหน้าทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด ทั้งการได้รับเงินลงทุนมหาศาลกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์จากกลุ่มทุน MGX ของอาบูดาบี และการเข้าไปมีบทบาทสนับสนุนด้านเทคโนโลยีให้กับโครงการคริปโตของครอบครัวทรัมป์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ Binance เตรียมรุกกลับเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกาอีกครั้งอย่างเต็มตัว
Chris Larsen

ที่มาภาพ : medium
คริส ลาร์เซน ผู้ก่อตั้ง Ripple ปิดท้ายปี 2025 ด้วยความสำเร็จครั้งใหญ่ในเชิงกลยุทธ์ แม้มูลค่าทรัพย์สินส่วนตัวจะลดลงเล็กน้อยที่ 5% เนื่องมาจากความผันผวนของเหรียญ XRP ที่เขาถือครองอยู่กว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือ การที่ Ripple สามารถยุติคดีความที่ยืดเยื้อกับ SEC ได้สำเร็จ โดยการจ่ายค่าปรับโดยไม่ยอมรับผิด ซึ่งถือเป็นการปลดล็อกทางกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์
นอกจากนี้บริษัทยังสามารถระดมทุนได้เพิ่มอีก 500 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้มูลค่าบริษัททะยานขึ้นไปแตะ 40,000 ล้านดอลลาร์ โดยลาร์เซนเชื่อมั่นว่า นี่คือปีที่แข็งแกร่งที่สุดของ Ripple เพราะหลังจากเอาชนะข้อพิพาททางกฎหมายได้แล้ว บริษัทก็พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจไปทั่วโลกอย่างเต็มสูบ
Justin Sun, Tron

ที่มาภาพ : cryptonary
จัสติน ซัน ผู้ก่อตั้ง Tron เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีคริปโตที่มีความเคลื่อนไหวโดดเด่นและเป็นที่พูดถึงมากที่สุดในปี 2025 แม้ทรัพย์สินรวมของเขาจะลดลงราว 16% โดยเหลือประมาณ 10,300 ล้านดอลลาร์ตามการจัดอันดับของ Bloomberg แต่เขาก็ได้ชัยชนะครั้งใหญ่ในด้านกฎหมายเมื่อ SEC ตัดสินใจระงับคดีฉ้อโกงที่ฟ้องเขาไว้ก่อนหน้านี้
ในปีนี้จัสติน ซัน กลายเป็นตัวละครสำคัญที่ปรากฏตัวในทุกพื้นที่ ตั้งแต่การร่วมโต๊ะอาหารกับประธานาธิบดีทรัมป์ ไปจนถึงการเดินทางไปนอกโลกกับ Blue Origin ขณะที่ในเชิงธุรกิจ เครือข่าย Tron ของเขาก็เติบโตจนกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของสเตเบิลคอยน์โลก โดยมีมูลค่าการโอนเฉลี่ยสูงถึง 20,000 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ตอกย้ำอิทธิพลของเขาในอุตสาหกรรมได้อย่างชัดเจน
กลุ่มที่บอบช้ำหนัก
Michael Saylor

ที่มาภาพ : dlnews
ไมเคิล เซย์เลอร์ แห่งบริษัท Strategy กลายเป็น “ผู้แพ้” ที่มีตัวเลขทรัพย์สินลดลงอย่างน่าตกใจในปี 2025 โดยมูลค่าความมั่งคั่งของเขาร่วงลงถึง 37% จากต้นปี และดิ่งลงกว่า 59% หากเทียบจากจุดสูงสุด
แม้ว่า กลยุทธ์การระดมทุนผ่านหุ้นและหนี้ เพื่อกว้านซื้อ Bitcoin จะเคยถูกขนานนามว่าเป็น “ทางลัดสร้างเงินไม่รู้จบ” แต่ความสำเร็จในอดีตกลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อมีคู่แข่งจำนวนมากแห่กันมาใช้กลยุทธ์เดียวกัน ทำให้หุ้นของ MicroStrategy สูญเสียความน่าดึงดูดและให้ผลตอบแทนแย่กว่าการถือ Bitcoin โดยตรง
อย่างไรก็ตาม เซย์เลอร์ยังคงเดินหน้าตามความเชื่อเดิมอย่างสุดตัว โดยเข้าซื้อ Bitcoin เพิ่มอีกกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงปลายปี ท่ามกลางคำถามจากนักลงทุนถึงความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจนี้
Cameron and Tyler Winklevoss

ที่มาภาพ : edition
พี่น้องฝาแฝด Cameron และ Tyler Winklevoss ผู้ก่อตั้ง Gemini กลายเป็นผู้ที่บอบช้ำที่สุดในเหล่ามหาเศรษฐีในปีนี้ โดยมูลค่าทรัพย์สินดิ่งลงถึง 59% จากต้นปี และร่วงหนักถึง 70% หากเทียบจากจุดสูงสุด
แม้ว่า ทั้งคู่จะพยายามสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ผ่านการบริจาคเงินมหาศาลเพื่อช่วยหาเสียง แต่ในเชิงธุรกิจ Gemini กลับต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก เมื่อการนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น (IPO) ในเดือนกันยายนเผยให้เห็นว่า ธุรกิจมีขนาดเล็กกว่าคู่แข่งอย่าง Coinbase มาก และยังต้องพึ่งพาเงินกู้จากตัวพี่น้องทั้งสองเพื่อประคองกิจการ ส่งผลให้หุ้นของบริษัท Gemini ร่วงลงทันที 60% ประกอบกับราคา Bitcoin ที่พวกเขาถือครองส่วนตัวปรับตัวลดลงในช่วงปลายปี ยิ่งซ้ำเติมให้ความมั่งคั่งลดฮวบลง
ที่มา : theedgesingapore

