<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เจาะลึกวิกฤตสภาพคล่อง: ทำไมเงินถึงหายไปจากตลาดคริปโต หลังเหตุการณ์ 10 วันที่ตุลาคม?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ตลาดคริปโตได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ระดับ “Black Swan” ที่จู่ๆก็เกิดการเทขายครั้งใหญ่จากความกังวลเรื่องภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่แบบไม่ทันตั้งตัว จนทำให้ราคาได้รับผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

เหตุการณ์ดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่สร้างรอยแผลลึกไว้ในอุตสาหกรรมคริปโตถึงขนาดที่บางคนมองว่า เหตุการณ์ในวันนี้ได้ทำให้ “บางสิ่ง” พังทลายลงจนไม่อาจซ่อมแซมกลับมาได้ ซึ่งแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น?

คืนสีเลือด

10 ตุลาคม เริ่มต้นวันกันตามปกติตลาดยังคงคาดหวังถึงขาขึ้นครั้งใหญ่ในไตรมาสที่ 4 ที่ทุกคนรอคอย อีกทั้ง Bitcoin ก็เพิ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ถ้อยคำของทรัมป์ในการขึ้นภาษีกับจีนได้ทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตร

ตามปกติแล้วตลาดมักจะมีเบาะรองรับแรงเทขายที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่วันที่ 10 ต.ค. นั้น ตลาดกลับมีสภาพคล่องที่ต่ำส่งผลทำให้นักเทรดถูกล้างพอร์ตและบังคับขาย กลายเป็นการฉุดราคาลงมาอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบกับนักเทรดแทบทุกราย

Coin Metrics อธิบายว่าเมื่อข่าวถูกเผยแพร่ ผู้ให้บริการสภาพคล่องเลือกที่จะถอนตัวออกห่าง ในขณะที่ฝั่งของตลาดฟิวเจอร์สที่มี order books (คำสั่งซื้อ) น้อยอยู่แล้วยิ่งทำให้ทุกอย่างย่ำแย่เมื่อเกิดการล้างพอร์ต เพราะไม่มีใครยอมที่จะรับมีดเพื่ออุ้มราคา

พวกเขาขนานนามว่าเป็น “The Great De-Leveraging” หรือการชำระตลาดทั้งระบบ โดยเหตุการณ์นี้มีความเสียหายสูงถึง $1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ 

ขณะเดียวกัน ทีมวิจัย Kaiko ระบุว่า กระดานเทรดหลายแห่งแทบไม่มีคำสั่งซื้อขายวางไว้ใกล้กับราคาตลาด (mid price) เลย ส่วนคำสั่งซื้อที่มีนัยสำคัญกลับไปปรากฏอยู่ห่างออกไปถึงประมาณ 4% และ 10% จากราคาตลาด ซึ่งเห็นได้ชัดเจนที่สุดบน Binance, Crypto.com และ Kraken แสดงให้เห็นว่าตลาดนั้นแห้งแล้งปราศจากสภาพคล่อง

ร่วงแรงเหมือนโดนรถชน

ในช่วงระยะเวลาวันที่ 10-11 ต.ค. Bitcoin ได้ร่วงลงมาหนักกว่า 14% ซึ่งถือว่ารุนแรงเป็นอย่างมากสำหรับหัวแถวของตลาดคริปโต ซึ่ง Coin Metrics มองว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้อยากจะให้มันเกิดขึ้นแต่พวกเขา “โดนบังคับขาย” 

ทางฝั่งของ Altcoins ยิ่งแทบจะไม่ต้องพูดถึงเพราะมีสภาพคล่องที่ต่ำกว่าและราคาผันผวนกว่า Bitcoin จึงทำให้ความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับราคา แต่ยังส่งผลถึงพฤติกรรมนักลงทุนที่เปลี่ยนไปอย่างมากในช่วงเวลาถัดมา เพราะทุกคนต่างกังวลกันมากขึ้น และลงทุนกันน้อยลง

ดราม่า Binance 

หากใครติดตามข่าวสารจาก X อยู่บ่อยๆ มักจะคงเคยเห็นว่ามีการกล่าวโทษ Binance ว่าเป็นต้นเหตุของวันที่ 10.10 ซึ่งถ้าจะให้ว่ากันตามตรงพวกเขาก็มีส่วนผิด แต่อาจไม่ใช่อย่างที่ใครคิด

Coin Metrics ระบุว่า Ethena’s synthetic dollar (USDe) เป็นหนึ่งในผู้เสียหายหลักของเหตุการณ์ 10.10 ซึ่งสกุลเงินดังกล่าวได้ถูกใช้เป็น margin collateral ในหลายเว็บเทรดใหญ่ เช่น Binance และเมื่อเหรียญหลุดมูลค่าที่ตรึงไว้ก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างเลยเถิด

ด้าน Binance หลังจากเหตุการณ์ไม่นานก็ได้ยืนยันว่า พวกเขาได้ทำการคืนเงินเยียวยาจำนวนประมาณ 283 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่ USDe, BNSOL และ wBETH หลุดจากราคาอ้างอิง เป็นเวลาสั้นๆ ในช่วงที่ตลาดเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง 

นั่นคือลักษณะของ ‘ช่องว่างที่เกิดขึ้นเฉพาะบางแพลตฟอร์ม’ (venue-specific gap) ซึ่งทำให้เหล่านักเทรดรู้สึกเหมือนกับว่ากฎเกณฑ์ต่างๆ ถูกเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน 

อธิบายให้เข้าใจง่ายเลยคือ จริงๆ มันไม่ควรราคาตก แต่มันดัน “ราคาตกเฉพาะบน Binance” แล้วระบบดันไปสั่งล้างพอร์ตคนที่ถือเหรียญเหล่านี้เป็นหลักประกัน

ทำไม่ตลาดถึงรู้สึกผิดปกติ

ตัดภาพกลับมาที่เดือนธันวาคม ตลาดยังคงมีสภาพคล่องที่ต่ำแม้ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่นักลงทุนยังไม่กล้าที่จะเอาเงินมาเสี่ยงเพิ่มทั้งตลาดสปอตและฟิวเจอร์ส ทำให้ตลาดไม่กลับมาอยู่ในสภาพเดิมเหมือนที่ควรจะเป็น และทำให้ Alt Season เริ่มสิ้นหวัง 

ขณะเดียวกัน กองทุน ETFs ที่เป็นเหมือนเสาหลักที่คอยค้ำราคาไว้ได้เริ่มทำให้ตลาดสั่นคลอนจากเงินที่ไหลออกต่อเนื่อง กลายเป็นว่าความสนใจของนักลงทุนได้เทกลับไปยัง “ทองคำ” กันหมด ซึ่งยังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง 

นั่นเองจึงทำให้หลายคนตระหนักได้ว่า ข่าวคราวทางเศรษฐกิจจะโจมตี Bitcoin เป็นลำดับแรกเนื่องจากไม่มีวันหยุดพัก และจะถูกโจมตีแรงที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่ตอนนี้ตลาดจะเริ่มผิดปกติเพราะตอนนี้ข่าวสารภายในอุตสาหกรรมแทบจะไม่ส่งผลกระทบเท่ากับปัจจัยภายนอก

แล้วจะโทษใคร ?

สุดท้ายนี้ เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่พอล้มเหลวหรือเกิดความสูญเสีย ก็มักมีความต้องการที่จะหาคนร้ายมารับผิดชอบ ซึ่งเหตุการณ์ 10.10 ก็ไม่ได้มีคนร้ายเพียงแค่รายเดียว และขึ้นอยู่กับว่าคุณจะโทษอะไร

สิ่งที่จะต้องทำหลังจากนี้ไม่ใช่การยึดติดกับอดีตและหาตัวการให้จงได้ แต่เป็นการยอมรับว่าตลาดได้เปลี่ยนไปแล้ว บางสิ่งได้พังทลายลงไปจริงๆ และตอนนี้ เราก็ควรเดินหน้าต่อหากยังคงมีความหวังในตลาดคริปโต

สุดท้ายถ้าถามว่าตลาดจะเป็นอย่างไรต่อและควรจับตาอะไรเป็นพิเศษก็ต้องไม่พ้น ความเคลื่อนไหวของ ETF จากนักลงทุนสถาบัน ตามด้วยความลึกของ order book เพราะหากยิ่งบางยิ่งมีโอกาสที่เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่าย ๆ และสุดท้ายคือการจับตาตลาดฟิวเจอร์ส ว่าตอนนี้มีการจัดการความเสี่ยงกันแบบใด

ดังนั้น ถ้ารากฐานยังคงไม่มั่นคง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนฐานนั้นก็จะสั่นคลอนไปด้วย แต่ถ้าทั้งสามอย่างกลับมาดูดีขึ้น เราอาจจะได้เห็นกระแสกลับตัว

ที่มา : Cryptoslate