คริปโตกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญในไตรมาสแรกของปี 2026 เมื่อนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กลายเป็นตัวแปรชี้ชะตาว่าจะทุบราคาให้ดิ่งเหวหรือช่วยพยุงให้ไปต่อ หลังจากปี 2025 จบลงด้วยความมึนงงของนักลงทุนที่เห็นเฟดลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง แต่ตลาดคริปโตกลับเทขายหนักจนมูลค่าหายวูบไปกว่า 1.45 ล้านล้านดอลลาร์จากจุดสูงสุด
ความเสี่ยงขาลง หาก Fed “หยุดลดดอกเบี้ย” เตรียมรับแรงกระแทก
แม้เฟดจะลดดอกเบี้ยลงมาแล้ว แต่ท่าทีล่าสุดจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงเริ่มส่งสัญญาณว่า “งานยังไม่จบ” โดยเฉพาะ จอห์น วิลเลียมส์ (John Williams) ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ที่ออกมาเบรกความหวังของตลาดว่า เขาไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในขณะนี้ เพราะต้องการเห็นเงินเฟ้อลดลงสู่ระดับ 2% อย่างมั่นคงเสียก่อน โดยไม่สร้างความเสียหายต่อตลาดแรงงาน
ความไม่แน่นอนนี้ถูกซ้ำเติมด้วยตัวเลขเงินเฟ้อ CPI เดือนพฤศจิกายนที่ระดับ 2.63% ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์บางส่วนมองว่าอาจเป็นตัวเลขที่คลาดเคลื่อนจากการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาล (Government Shutdown) ทำให้ข้อมูลไม่สมบูรณ์
Jeff Mei ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ BTSE ได้ออกมาเตือนว่า หากเฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยตลอดไตรมาสแรกของปี 2026 แรงกดดันนี้อาจฉุดให้ Bitcoin ร่วงลงไปแตะระดับ 70,000 ดอลลาร์ และ Ethereum อาจดิ่งลงถึง 2,400 ดอลลาร์
ความหวังใหม่ “Stealth QE” ปฏิบัติการอัดฉีดเงียบ
อย่างไรก็ตาม ในข่าวร้ายยังมีข่าวดีซ่อนอยู่ เมื่อเฟดได้ประกาศยุติมาตรการดึงสภาพคล่อง (Quantitative Tightening) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา และเริ่มโครงการ Reserve Management Purchases (RMPs) หรือการเข้าซื้อตั๋วเงินคลังระยะสั้นมูลค่าราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อพยุงสภาพคล่องในระบบธนาคาร
นักวิเคราะห์เรียกมาตรการนี้ว่า “Stealth QE” หรือการทำ QE แบบเงียบๆ ซึ่งแม้เม็ดเงินจะไม่มหาศาลเท่าสมัยวิกฤตโควิดที่มีการอัดฉีดเดือนละ 8 แสนล้านดอลลาร์ แต่การเติมสภาพคล่องอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอที่จะช่วยพยุงสินทรัพย์เสี่ยงได้
เป้าหมายขาขึ้น หากสภาพคล่องไหลเข้า
Jeff Mei มองว่าหากมาตรการ RMPs ยังดำเนินต่อไปในไตรมาส 1 ปี 2026 สภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นอาจช่วยดันราคา Bitcoin ให้ดีดตัวกลับไปที่ช่วง 92,000 – 98,000 ดอลลาร์ โดยมีแรงหนุนจากกระแสเงินทุนไหลเข้า ETF กว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วน Ethereum มีโอกาสพุ่งไปแตะ 3,600 ดอลลาร์ จากอานิสงส์ของการขยายตัวใน Layer-2 และผลตอบแทนจากการ Restaking ที่ดึงดูดผู้ใช้งาน DeFi กลับมา
ที่มา: cointelegraph

