เครือข่ายของ Bitcoin ได้เสร็จสิ้นการ halving ในวันนี้ที่บล็อก 840,000 ซึ่งตรงกับวันที่ 20 เมษายน 2024 ณ เวลา 7 โมงเช้าโดยประมาณ (เวลาไทย) เรียกได้ว่าจากนี้ต่อไปเราจะเข้าสู่ยุคการจ่ายรางวัลยุคที่ 5 ของ Bitcoin อย่างเป็นทางการ
การ Halving ครั้งที่ 4
ปี 2024 นับว่าเป็นปีที่ 14 ของ Bitcoin แล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่ Bitcoin ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 3 มกราคม 2009
ในทุกๆ 4 ปี กลไกการ Halving จะถูกเปิดใช้งานเพื่อควบคุมจำนวน Bitcoin ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งในการ Halving ครั้งที่ 4 นี้ คาดการณ์ว่าจะเป็นการเปิดฉากสู่ยุคใหม่ของ Bitcoin
ทุก ๆ ครั้งที่เกิดการ halving อัตราเงินเฟ้อของ Bitcoin ก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ เมื่อจำนวน Bitcoin ที่ถูกขุดขึ้นได้จาก Blockchain ถูกลดลง 50% จากเดิมเริ่มแรกสุดนั้น Bitcoin จะมีรางวัลบล็อกอยู่ที่ 50 BTC ต่อบล็อก (บล็อกใหม่เกิดขึ้นเฉลี่ยต่อ 10 นาที) แต่หลังจากการ halving ครั้งแรกเมื่อปี 2012 รางวัลนี้ก็ลดลงเหลือแค่ 25 BTC ตามมาด้วย halving ครั้งที่สองเมื่อปี 2016 รางวัลนี้ลดลงเหลือแค่ 12.5 BTC และครั้งที่สามรางวัลลดลงเหลือแค่ 6.25 BTC
ดังนั้นหมายความว่านับแต่นี้ต่อไปจนกระทั่งปี 2028 นั้น จะมี Bitcoin ที่ถูกสร้างใหม่ต่อวันอยู่ที่ราว ๆ 450 BTC เท่านั้น หรือคิดเป็น 3.125 BTC ต่อบล็อก ส่งผลให้นักขุด Bitcoin หา Bitcoin ได้ยากมากขึ้นไปอีก
ความคาดหวังในด้านราคา
จากสถิติของการ Halving ที่ผ่านมาในทุก ๆ จะพบว่าราคา Bitcoin มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับเหตุการณ์ที่เรียกว่า supply shock หรือแปลเป็นไทยก็คืออุปทานเหรียญที่หายากมากขึ้น สวนทางกับความต้องการจึงส่งผลทำให้ราคาของ Bitcoin แพงมากขึ้นนั่นเอง
ภาพ : กราฟประวัติราคา BTC จาก Coinmama
ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า Bitcoin เริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้นจากทั่วโลกโดยนอกจากจะเป็นตัวกลางที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนเงินโดยไม่ต้องพึ่งธนาคารแล้ว Bitcoin ยังกลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับประชาชนในหลาย ๆ ประเทศท่ามกลางวิกฤตโลก จากการพิมพ์เงินของธนาคารกลางทั่วโลกแบบไร้ขีดจำกัด ซึ่งก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงปัญหาสงครามความขัดแย้ง เนื่องจากอุปทานที่จำกัดของ Bitcoin ทำให้ตัวของมันแทบจะไม่มีทางเฟ้อขึ้นได้เลย
Anthony Scaramucci ผู้ก่อตั้ง SkyBridge Capital ได้ออกมาแสดงความเห็นเมื่อช่วงต้นปีว่าราคา Bitcoin หลังการ Halving ครั้งที่ 4 นี้อย่างน้อยที่สุดราคา Bitcoin อาจพุ่งแตะ 170,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 6.2 ล้านบาทต่อ 1 BTC โดยเขาได้คาดการณ์ว่าในกรณีที่ดีที่สุด Bitcoin อาจทำราคาได้สูงถึง 240,000 ดอลลาร์
ในขณะที่มหาเศรษฐีพันล้านอย่าง Tim Draper ได้ออกมาแสดงความเห็นเมื่อปลายปี ที่แล้วว่าราคา Bitcoin หลังการ Halving ครั้งที่ 4 อาจพุ่งถึง 250,000 ดอลลาร์ และมาจนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงยืนยันในคำทำนายของเขาอย่างหนักแน่น
อย่างไรก็ตาม ตามสถิติแล้ว ราคา Bitcoin นั้นไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองในเชิงบวกทันทีหลังจากการ halving เนื่องจาก Bitcoin ต้องใช้เวลาถึง 1 ปีให้หลัง ราคาถึงจะสามารถทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2012-2013 และ 2016-2017
ดังนั้นหากประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เราอาจะได้เห็นการเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นในปีหน้า โดยในรอบนี้เราอาจจะเห็นราคาพุ่งทะยานมากกว่ารอบที่แล้ว หรือ อาจไม่พุ่งเลยก็เป็นได้ เนื่องจากในช่วงต้นปี Bitcoin ได้ทำราคาพุ่งทะลุ All-Time-High ไปแล้ว หลังจากมีการอนุมัติกองทุน Bitoin Spot ETFs ซึ่งไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนในช่วงตลอด 14 ปีที่ผ่านมาของ Bitcoin
ความคาดหวังในด้านอื่น ๆ
นอกเหนือความคาดหวังจากในด้านราคาแล้ว การที่มีผู้คนหันมาให้ความสนใจในตัวมันมากขึ้นทั้งในแง่ของการลงทุน หรือ เก็บออมนั้นอาจหมายถึงการเข้ามาของคนหน้าใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาสรรค์สร้างสิ่งต่าง ๆ ให้วงการคริปโตก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
ในขณะที่การอนุมัติกองทุน Bitcoin Spot ETFs ของ ก.ล.ต. สหรัฐ ฯ จะส่งผลให้นักลงทุนสถาบันรายใหญ่เข้ามาลงทุนใน Bitcoin เป็นจำนวนมากขึ้นส่งผลให้นักลงทุนในกระแสหลักเริ่มหันมาให้ความสนใจกับ Bitcoin
เช่นเดียวกันกับบริษัทเอกชนต่าง ๆ ที่ได้เริ่มมีการเก็บ Bitcoin ไว้กับตัวเช่น MicroStrategy ของ Michael Saylor
นอกจากตัวของ Bitcoin แล้วการ Halving ยังส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการเงินโลกอีกด้วย เพราะเมื่อคริปโตได้รับการยอมรับมากขึ้นย่อมส่งผลทำให้เกิดบริการด้านคริปโตและบล็อกเชนเกิดขึ้นมารองรับความต้องการนี้ เช่นเดียวกันกับสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางอย่าง CBDC ที่ในหลายประเทศก็เริ่มมีการพัฒนากันบ้างแล้ว ซึ่งรวมไปถึงประเทศไทยด้วย สิ่งนี้จะทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศหากันได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไป
การ Halving ครั้งต่อไป
สำหรับ Halving ครั้งที่ 5 ของ Bitcoin จะเกิดขึ้นในปี 2028 ซึ่งครั้งต่อไปจำนวนรางวัลขุด Bitcoin ต่อบล็อกใหม่นั้นจะลดลงเหลืออยู่แค่ 1.5625 BTC เท่านั้นทำให้ Bitcoin หายากมากขึ้นไปอีกสำหรับเหล่านักขุด
แม้ว่าอนาคตจะเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่หากเราลองดูจากสถิติในครั้งที่ผ่าน ๆ มาหลังจากการ halving แล้วจะพบว่ามันไม่มีครั้งไหนเลยที่ราคา Bitcoin ร่วงทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ในทางกลับกัน ราคากลับได้ทำจุดสูงสุดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้นหากคุณเป็นคนที่เชื่อมั่นในอนาคตของสินทรัพย์ดังกล่าว มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรหากจะซื้อเก็บไว้สักเล็กน้อยแบบสนุก ๆ แล้วก็ลืมมันไป จากนั้นค่อยกลับมาดูอีกทีในปีสองปีข้างหน้าว่าราคามันกลายเป็นเท่าไรแล้ว แต่จงจำไว้ว่า คุณไม่ควรซื้อมาเกินกว่าที่ตัวเองจะรับไหว เพราะการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีมีความเสี่ยงสูง และอาจสูญเสียเงินได้ทั้งจำนวน