เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา รายการ ทันโลกกับ Trader KP ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอการสัมภาษณ์ คุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา CEO ของ Bitkub แพลตฟอร์มการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย โดยในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ คุณท๊อป ได้ให้ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับราคา Bitcoin ว่า หาก Bitcoin มีมูลค่า 1 % ของหลักทรัพย์รวมทั่วโลก หรือ 5 ล้านล้านดอลลาร์ มูลค่าที่แท้จริง Bitcoin ควรจะราคาเท่าไหร่กันแน่ ? เนื่องจาก ราคา Bitcoin ไม่เคยกลับไปต่ำกว่า High Peak รอบที่ผ่าน ๆ มา
สำหรับการคาดการณ์ราคา Bitcoin มีนักวิเคราะห์จากหลายแห่งออกมาคาดการณ์ราคากันเป็นจำนวนมาก ซึ่งความเห็นของแต่ละแห่งก็จะคาดการณ์ราคาที่แตกต่างกันออกไป
บางความเห็นอาจจะมองในแง่ของแค่ราคากับการเคลื่อนไหวของเงิน แต่สิ่งที่คุณท๊อปอธิบายพูดไปถึง mechanism ที่มันถูกกำหนดมาแล้ว ถ้ามันฟังก์ชัน มันจะเป็นไปตามกรณีที่สอง คือราคา Bitcoin จะต้องขึ้น เพราะผลตอบแทนของนักขุดลดลง ไม่เช่นนั้นจะไม่จูงใจให้นักขุดมาทำงานเพื่อให้ระบบ Bitcoin มันเดินหน้าต่อไป ทีนี้เราเข้าใจ mechanism แล้ว แต่ว่าสิ่งที่มันแตกต่างอย่างนึงคือ เงินของสถาบันที่เข้ามาแบบถาโถม ดังนั้นถ้าเป็นไปตามกรณีพื้นฐาน ราคา Bitcoin จะขึ้น ซึ่งเป็นไปตาม Supply ที่มันลดลง แถมยังมี Demand ที่เข้ามาแบบมหาศาล
ทางผู้ดำเนินรายการถามคุณท็อปว่า คุณท็อปประมาณการ Bitcoin ในตลาดคริปโตรอบนี้อย่างไรบ้างว่า มันจะมีอะไรที่น่าตื่นเต้นมากกว่ารอบที่ผ่าน ๆ มาในมุมมองเชิงบวกเป็นอย่างไร
คุณท๊อปกล่าวว่า คีย์คือเราต้องสามารถที่จะ identify สิ่งที่เราเรียกว่า long term equilibrium Price ราคาไหนที่มันเป็น ราคาที่เหมาะสมกับ prefactable requirement ที่ราคาถัดไป ซึ่งเป็น equilibrium ในระยะยาวมันคือราคาเท่าไหร่ ทีนี้ในระยะสั้นคนจะเข้ามา SPECULATE บางคนก็คาดการณ์ราคาแบบเกินไป ราคาก็จะสูงกว่า equilibrium Price มันก็จะต้องเกิด Crypto winter ซึ่งใน 3 Wave ที่ผ่านมา คน over SPECULATE ว่า new equilibrium Price มันอยู่ที่ไหน โดยเมื่อเกิดการ over SPECULATE พอทุกคนรู้ว่ามันคือฟองสบู่ปุ๊ป มันก็แตกลงมา เพื่อที่มันจะเกิด winter 3 ปี แล้วเข้าสู่ equilibrium ใหม่ของมัน
สังเกตว่า ทุก ๆ ครั้งที่ราคา Bitcoin มันลดลงหลังจากมันถึงจุดพีคสูงสุดแล้ว มันจะ winter มันไม่เคย winter ต่ำกว่าพีคที่แล้วของ Wave ที่แล้วเลย เพราะมันไม่สามารถลงไปกลับ equilibrium Price เก่าได้ เพราะมันไม่ใช่ minimum prefactable requirement ที่นักขุดจะสามารถขุด Bitcoin ได้
ยกตัวอย่างปี 2012 มันเกิดการ halving ครั้งแรก เพราะว่า Bitcoin เกิดมาในปี 2009 จะมี 50 Bitcoin ออกมาทุก 10 นาที มันหาร 2 ครั้งแรกคือ ตอนประมาณกลางปี 2012 ตอนนั้นเหลือ 25 Bitcoin แล้วจาก 50 หลังจากนั้น 6 เดือนต่อไป ราคา Bitcoin ก็ปรับตัวขึ้นจาก 11 ดอลลาร์ขึ้นไปถึง 1150 ดอลลาร์ แล้วสิ่งที่เราเรียกว่า over speculation มันขึ้นไปที่ 10,000 % ใน Wave แรก เพราะว่าฐานมันเล็ก user base มันเล็ก มันขึ้นไป 10,000 % มันไม่แปลก มันขึ้นมาเยอะเกินไป เป็นราคา 1150 ดอลลาร์ มันเลยเกิด Crypto winter ครั้งแรก
ปี 2013,2014,2015,2016 เป็น 4 ปี แห่ง winter ราคาที่มันค่อย ๆ ลงมาเรื่อย ๆ จนมันลงมาจุดต่ำสุดคือ 200 ดอลลาร์ แล้วทำไม 200 ดอลลาร์ มันสูงกว่า 11 ดอลลาร์ เพราะ200 ดอลลาร์ มันกลับไป 11 ดอลลาร์ไม่ได้ ถ้ากลับไป 11 ดอลลาร์เมื่อไหร่ มันจะไม่ minimum prefactable requirement ถ้าราคา p มันกลับไปเป็น 11 ดอลลาร์ แต่ Q จากเมื่อก่อน Q ได้ 50 ที่ Bitcoin ออกมาทุก 10 นาที Q กลายเป็นเหลือ 25 Bitcoin แล้ว แต่ p กลับไป equilibrium Price เก่าที่ 11 ดอลลาร์ นักขุดจะขาดทุนกันทั้งหมดเลย ขาดทุน 50% มันก็เลยไม่ได้ minimum require ที่มันตกลงมาคือ 200 ดอลลาร์ ต่ำที่สุดใน Wave ที่ 1
พอมาดู Wave ที่ 2 มันเกิดตอนปี 2016 ซึ่งเป็น 4ปี หลังจากปี 2012 พอปลายปี 2016 พอเกิดปุ๊ป หลังจากนั้น 6 เดือนต่อมา ราคา Bitcoin ปรับตัวขึ้นจาก 600 ดอลลาร์ ขึ้นไปถึง 20,000 ดอลลาร์ หรือ 6 แสนบาท ต่อ 1 BTC ในปี 2017 พีคสุด ต้นปี 2018 คนก็ over SPECULATE ทำให้ beyoud equilibrium Price เกิด equilibrium ใหม่ ผมเรียกว่า P1 คือ 11 ดอลลาร์ P2 คือ 200 ดอลลาร์ P3 คนยังไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่คน over SPECULATE ไปถึง 20,000 ดอลลาร์แล้ว แล้วเกิด winter เพื่อที่จะเกิด adjustment ลงมา
ปี 2018 2019 2020 ก็ winter ตลอดลงมาถึง 3,000 ดอลลาร์ ซึ่ง 3,000 ดอลลาร์ สูงกว่า 600 ดอลลาร์ ก่อนที่ราคา มันจะพุ่งขึ้น 20,000 ดอลลาร์ มันไม่มีทางลงมา 600 ดอลลาร์ ถ้าลงไป 600 ดอลลาร์ จาก Q 25 Bitcoin กลายเป็นเหลือ 12.5 Bitcoin หารครึ่งอีก
แต่ถ้าราคายัง 600 ดอลลาร์ แปลว่า นักขุดส่วนใหญ่จะขาดทุน
พอมา Wave ล่าสุดจาก 3,000 ดอลลาร์ ราคาขึ้นไปถึง 60,000 กว่าดอลลาร์ แล้วราคามันลง มันเป็นครั้งแรกที่ราคามันลงต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์ แต่มันลงไปต่ำแค่แปปเดียวเอง ถ้าช่วงนั้นใครรู้เทรนด์ ซื้อตอนนั้นคือกำไรไปแล้ว 4-5 เท่า 4-500% คือตั้งแต่เดือนธันวาคม 2022 คือมันมี Layer Event ที่เรียกว่า FTX ที่เรียกว่า luna เกิดขึ้นมา ทำให้คนเกิด panic sell เข้าไปใหญ่ ทำให้เป็นครั้งแรกที่ราคา Bitcoin มันต่ำกว่า equilibrium Price เก่า นิดนึงที่ 20,000 ดอลลาร์ จุดพีคเก่า แต่มันลงไปต่ำแค่แปปเดียวเอง แล้วมันก็กลับขึ้นมาแล้วมันก็ไม่เคยแตะ 20,000 ดอลลาร์อีกเลย แล้วตอนนี้ตั้งแต่ปีกว่าที่ผ่านมาราคาก็ขึ้นไปถึง 2ล้าน 4แสน บาทต่อ 1bitcoin
คุณท๊อปกล่าวว่า เพราะฉะนั้นจะตอบคำถามว่า ครั้งนี้มันเป็นครั้งแรกที่ มันเกิด ATH ก่อน halving แปลว่า เงินสถาบันที่ไหลเข้ามาครั้งนี้ มัน over SPECULATE ก่อนจะถึง equilibrium Price รึเปล่า เพราะว่า p ที่ 4 หรือ equilibrium Price ครั้งที่ 4 มันคือเท่าไหร่ยังไม่รู้ แต่ถ้าคนตามอดีตย้อนหลัง อีกปีครึ่งหลังจากนี้ คนจะ over SPECULATE ล่วงหน้า จนราคามันเกิน equilibrium Price แล้วมันจะเกิด winter อีกครั้งหนึ่ง เป็น Crypto winter ครั้งที่4 เพื่อจะ adjust ไปสู่ equilibrium Price อันใหม่
แต่ทุก ๆ Wave ที่มัน under estimate ไประยะห่างระหว่าง over estimate กับ under estimate มันเล็กลงเรื่อยๆในทุกๆ Wave เพราะ user base มันใหญ่ขึ้น ซึ่ง FACILITY มันจะลดลงถ้า user base มันยิ่งใหญ่
จาก Wave แรก 11ดอลลาร์ขึ้นไปถึง 1,150 ดอลลาร์ 10,000 % แล้วมันลงที 200 % เท่ากับมันลงที 500 % 5 เท่า ใน Wave ที่ 1
Wave ที่ 2 จาก 600 ขึ้นไปถึง 20,000 ดอลลาร์ มันขึ้นไม่ถึง 10,000 % เหลือ 3,000 % มันก็จะน้อยลงเรื่อยๆ แล้วWave ที่ 3 ยิ่งน้อยใหญ่เลย ซึ่ง Wave ที่ 4 อาจจะขึ้น ตามสถิติคนจะ over SPECULATE แต่ครั้งนี้จะไม่ได้ขึ้นสูงเป็น 10,000% เหมือนใน Wave ที่ 1 ระยะห่าง มันจะน้อยลงเรื่อยๆ ขึ้นก็จะน้อยลง ลงก็จะน้อยลง
ทางผู้ดำเนินรายการถามคุณท็อปต่อว่า การหา equilibrium Price จริง ๆ มันไม่มีใครรู้ เราจะสามารถประมาณการได้ไหม หรือจุดที่เป็นมูลค่าที่แท้จริง ตัวที่เป็นราคาที่เหมาะสม ไม่มีใครทราบก็เลย overprice อยู่เสมอหรือว่า underprice ลงไปแบบมาก ๆ
คุณท๊อปกล่าวว่า จริง ๆ มันสามารถคำนวณได้ มันมี 2 FACTOR ที่ต้องคำนวณ
FACTOR ที่ 1 ก็คือ minimum prefactable requirement ของนักขุด คือ P time Q เท่ากับรายได้ของนักขุดแล้ว คือ Price time quantity แล้ว quantity มันกำหนดแน่นอนว่า มันต้องหาร 2 ทุกสี่ปี แล้วเรากำลังจะเข้าสู่ยุคที่จาก 6.25 Bitcoin ทุก 10 นาที จะเหลือ 3.25 Bitcoin ซึ่ง P time Q คือ ฟังก์ชั่นที่ 1 ลบกับ ฟังก์ชั่นที่ 2 คือ เครื่องขุด Bitcoin คูณกับจำนวนไฟฟ้าที่ต้องใช้คือต้นทุนของนักขุด
เมื่อเอาสองอย่างนี้มารวมกัน แปลว่า นักขุดจะต้องกำไรนิดนึง equilibrium Price จะต้องกำไรนิดนึง ถ้ากำไรเยอะเกินไปมันจะเกิดเหตุการณ์ว่า ทำไมกำไรมันหอมหวานขนาดนี้ คนจะแห่มาขุด bitcoin กันมากขึ้น พอขุดมากขึ้นมันจะทำให้ค่าความยากในการขุดมันมากขึ้น มันก็ต้องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้ต้นทุนมันสูงขึ้น แปลว่า equilibrium มันก็จะกำไรนิดเดียว
ในทางกลับกัน ถ้ามันขาดทุน มันไม่คุ้ม นักขุดก็จะออกไปส่วนหนึ่ง มันก็จะทำให้ความยากในการขุดส่วนหนึ่งมันน้อยลง เราก็ใช้เครื่องขุดน้อยลง ใช้ไฟฟ้าน้อยลง ต้นทุนของนักขุดก็ต่ำลง อันนี้คือปัจจัยที่ 1 ที่สุดท้ายแล้วมันจะกำไรไม่เยอะ ใน long term equilibrium Price กำไรมันจะไม่เยอะมาก มันจะพอแค่เป็นแรงจูงใจที่ ทำให้นักขุดมาคอนเฟิร์ม Transaction ให้กับทุกคนได้
ปัจจัยที่ 2 อันนี้คือ Demand โดย Demand ของความต้องการใช้ Bitcoin blockchain ถ้าคนยิ่งโอน Bitcoin blockchain เยอะ คือวอลลุ่มการโอน Bitcoin ถ้าพูดถึง intensive Volume ถ้าพูดถึงการเทรด มันไม่ใช่ intensive VALUE มันคือ SPECULATE VALUE
แต่ถ้าพูดถึง intensive VALUE จริงๆ มันคือการโอน Bitcoin บน bitcoin blockchain เราต้องเข้าไปดูจำนวน Transaction ที่โตขึ้น เรื่อยๆ ถ้าจำนวนTransaction ที่อยู่บนbitcoin blockchain โตขึ้น เรื่อยๆ ทุกปี แปลว่า ค่า mining fee ที่จะต้องจ่ายให้กับนักขุด ค่า Transaction fee มันจะต้องสูงขึ้น เป็นฟังก์ชั่นที่ 2
มันอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ว่า mining จากฟังก์ชั่นที่ 1 โอน P time Q ลบ เครื่องขุดไฟฟ้ามัน ขาดทุนนิดนึงด้วยซ้ำไป อาจจะขาดทุนแล้วด้วยใน ฟังก์ชั่นที่ 1 แต่ปรากฏว่าคนใช้ bitcoin blockchain ในการโอนเงินระหว่างกันข้ามประเทศเยอะมาก แล้วมันมีค่าfee จากฟังก์ชั่นที่ 2 มารวมกัน บวกลบกันแล้ว มันจะกำไรอยู่นิดนึง มันก็อาจจะไปต่อได้
สามารถเอาสองฟังก์ชันนี้คำนวณเลยว่า จำนวนคนใช้ bitcoin จากการโอน ด้วย bitcoin blockchain จำนวน Transaction เยอะไหม ถ้าเยอะ ค่า Transaction fee ให้นักขุดต้องเยอะตาม
ฟังก์ชันที่ 1 คือเครื่องขุด bitcoin ราคาเท่าเดิมไหม ราคาไฟฟ้าราคาเท่าเดิมไหม Q เรารู้แล้วว่ามัน predictable อยู่ตัวเดียว แต่ Price จะเป็นตัวกำหนดว่า equilibrium Price อันใหม่จะเท่าไหร่ที่มันกำหนดนิดเดียว ซึ่งอันนี้มันคือ intensive VALUE มันเหมือนทองคำ ที่ intensive มันมีเท่านี้ ที่มันมีมูลค่ามากกว่าที่คนเทรด
Bitcoin จะมี intensive VALUE ของมันที่เราคำนวณได้ เอาสองฟังก์ชันที่ผมบอกไปบวกกัน กับ เรื่องราว Regulation Opening Up บวกกับ จำนวน Volume ในการเทรดบนกระดานเทรดต่างๆ พวกนี้มันคือ SPECULATIVE ที่อยู่เหนือ intensive ทั้งหมดเลย
ทางผู้ดำเนินรายการถามคุณท็อปต่อว่า สองสูตรที่คุณท็อปพูดถึงมีราคา Bitcoin ที่เป็นราคาประมาณการไหม บางสำนักพูดถึงแสนดอลลาร์ บางสำนักพูดถึงระดับสองแสนห้าดอลลาร์ อาจมีการนำเม็ดเงินสถาบันเข้ามาคาดการณ์ไปคำนวณรวมด้วย ทำให้แต่ละสำนักมีเป้าหมายแตกต่างกันไป หลายสำนักคาดการณ์อย่าง Standard Chartered คาดการณ์ราคา bitcoin สูงกว่าแสนดอลลาร์ คุณท็อปมองว่า มันสูงเกินไปไหม จะเป็นไปได้หรือเปล่า ในแง่ในทางสูตรหรือทฤษฎีในการคำนวณ ไม่มีใครรู้ราคาที่แท้จริง
คุณท็อปกล่าวว่า ที่ผมอธิบายไป คือ intensive VALUE คือฟังก์ชันที่ 1 กับฟังก์ชันที่ 2 ที่จะต้องมารวมกัน แต่ที่หลายคนคำนวณเขารวม SPECULATIVE VALUE ด้วย คำนวณเม็ดเงินสถาบันทั่วโลกด้วยว่ามีเท่าไหร่ financial asset class รวมกันทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หุ้น ทองคำ มีประมาณ 500 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งตลาดคริปโตตอนนี้ 2-3 ล้านล้านดอลลาร์เอง ไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำไป เพราะ 1% คือ 5 ล้านล้านดอลลาร์ แปลว่า ถ้า regerize จริง ๆ ETF จริง ๆ เนี่ย คนน่าจะ diversify ใน bitcoin มากกว่า 1% มั้ง คนเลยคำนวณว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ Bitcoin จะราคาเท่าไหร่ จากตอนนี้อยู่ที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์
ถ้าสมมติ 1% ของ global wealth ไหลเข้ามาใน global financial asset class ทุกชนิด เอาแค่ 1% พอ bitcoin ควรจะราคาเท่าไหร่ อันนี้มันคือ SPECULATIVE ไหนจะเกิดสงครามยูเครน รัสเซีย ไหนจะเกิดสงครามอิสราเอล พวกนี้มันคือ SPECULATIVE VALUE ที่มันไม่ใช่ intensive
intensive มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเปลี่ยน มันต้องเป็น 1+1 เท่ากับ 2 ซึ่งเป็นสิ่งที่คำนวณได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คนส่วนใหญ่พูดมันคือ intensive บวกกับ SPECULATIVE ซึ่ง FACTOR ต่าง ๆ บวกลบคูณหารกันมาแล้ว เลยมีการคาดการณ์ราคาออกมาจากสำนักต่าง ๆ ว่าราคา Bitcoin ราคาจะพุ่งไปที่ 100,000 ดอลลาร์ 120,000 ดอลลาร์ 150,000 ดอลลาร์ แล้วแต่สำนัก
ที่มา : Youtube