Cameron Newell คือ นักเทรดแบบรายวัน ที่สามารถเปลี่ยนเงิน 1,000 ดอลลาร์ให้เป็น 1 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงแค่ 109 วัน และจากนั้นเขาก็สามารถทำเงิน 5 ล้านดอลลาร์จากการเทรดในเวลาเพียง 256 วัน จนกระทั่งทุกวันนี้ นักลงทุนหลายคนต่างรู้จัก Cameron ในฐานะนักเทรดเพียงไม่กี่คนบนโลกที่สามารถทำกำไรกว่า 5,000 เท่าภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี
แม้ว่าเรื่องราวของเขาอาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่ความสำเร็จของ Cameron นั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่าย ๆ เขาพอร์ตแตกยับ 2 – 3 ครั้งก่อนที่จะทำสำเร็จ เพราะ Cameron นั้นไม่ใช่กูรู ไม่ใช่นักเทรดมืออาชีพ และเขาก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่เคยขับรถส่งพิซซ่าโดมิโนก่อนที่จะประสบความสำเร็จจากการเทรด
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ Cameron สามารถทำเงินล้านจากการเทรดได้ในที่สุด? และอะไรสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากเรื่องราวความสำเร็จของเขาได้? ถ้าหากใครอยากรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้ ก็มาติดตามเรื่องราวของ Cameron Newell ไปพร้อมกับสยามบล็อกเชนกันได้เลย
วัยเด็กของ Cameron และกุญแจสู่ความสำเร็จในชีวิต
บางคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของสุดยอดนักเทรดที่ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนเพื่อเริ่มต้นเส้นทางของนักเทรดมืออาชีพ แต่ Cameron ไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จเพราะเลือกที่จะเดินบนเส้นทางนั้น
ตอนที่ Cameron ยังเป็นเพียงเด็กประถม เขากล่าวว่าตัวเขาชอบโรงเรียนมากจริง ๆ เพราะเขาทำผลการเรียนได้ดีทีเดียว ทว่าเมื่อเขาเริ่มเติบโตจนเข้าสู่ช่วงมัธยม Cameron กลับพบว่าการใช้ชีวิตในโรงเรียนนั้นไม่ได้มีความสุขเหมือนอย่างเคย
“ตอนที่ผมอยู่โรงเรียนประถม ผมจำได้ว่าผมเก่งคณิตศาสตร์ แต่วิชาพละผมก็เก่งเหมือนกัน ตอนเด็ก ๆ ผมแข็งแรงมาก แต่แล้วผมก็เพิ่งมารู้ตัวเอาตอนเกรด 8 เกรด 9 ว่าผมไม่สนุกกับการเรียนเอาซะเลย จากนั้นผมก็ตระหนักได้ว่าโรงเรียนไม่ใช่ที่สำหรับผม แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะลาออก ผมไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ”
“ผมไม่สนใจที่จะเรียนรู้อะไรอีกต่อไป แต่ผมก็พยายามอยู่เสมอ ผมพยายามพูดว่า เรียน เรียน เรียน เพราะนั่นคือโรงเรียน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมสนใจในการเรียนจริง ๆ หรือเปล่า ผมแค่พยายามผ่านมันไปให้ได้”
เมื่อเล่าเรื่องราวในวัยเด็กมาจนถึงจุดนี้ Cameron ได้กล่าวว่า “การไม่ยอมแพ้” คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของเขา พร้อมกับเปิดเผยด้วยว่าอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เขาสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่อไปได้นั้น คือลักษณะนิสัยส่วนตัวของเขาเอง
“มีอยู่ช่วงหนึ่งในชีวิตที่ผมสนุกกับการเรียนจริง ๆ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ผมผ่านมันไปได้เพราะผมเป็นคนที่มีนิสัยแบบว่า… ถ้าผมได้รับบางสิ่งบางอย่างกลับมา ผมจะชอบมัน และสนุกไปกับมัน”
ทั้งนี้ถึงแม้ Cameron จะไม่ได้กล่าวว่าเขามีปัญหาด้านการเงินในช่วงวัยเรียนของเขาหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเรียนไม่จบ โดยในช่วงที่เขาอายุเพียง 15 ปี Cameron ต้องพยายามหาเงินอย่างหนักเพื่อให้ตนเองสามารถเรียนต่อที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง
Cameron ยืนยันว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
งานแรกของ Cameron ในวัย 15 ปี คือการจัดสวนให้กับชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า Mr. Greste ซึ่งเขาทำงานนั้นอยู่นานถึง 2 ปี เพราะคิดว่าเงิน 12 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 400 บาท เป็นรายได้ที่คุ้มค่ากับความเหนื่อยของเขา อย่างไรก็ตาม Cameron เปิดเผยว่าเขาไม่ได้ชื่นชอบการเป็นคนสวนเลย เขาไม่ชอบแมลงในสวน และการถอนหญ้าในสนามกอล์ฟของ Mr. Greste ก็เป็นงานที่หนักเอาการ
“ตอนนั้นผมอายุประมาณ 15 ปี ทำงานนี้ 4-5 ชั่วโมงต่อวัน แต่คุณรู้ไหม ผมไม่ชอบเลย แต่ผมก็ไม่ได้เกลียดมัน ผมแค่ทำเพื่อให้ได้ตีกอล์ฟฟรี”
หลังตัดสินใจลาออกจากงานนั้น งานสุดท้ายที่ Cameron เคยทำคือการทำงานให้กับโดมิโนพิซซ่า
“ผมเป็นเด็กส่งพิซซ่าของโดมิโนประมาณหนึ่งปีครึ่ง และคุณรู้ไหม นั่นคือตอนที่ผมเริ่มเทรด และนั่นก็คือตอนที่ผมเสียเงินก้อนใหญ่ในแอป Robinhood”
การเทรดครั้งแรกของ Cameron
ในตอนที่ Cameron เริ่มเทรดครั้งแรก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ เพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้เขารู้จักการเทรดหุ้น และแนะนำแอป Robinhood ให้กับ Cameron ซึ่งเขาก็ได้ตัดสินใจลองเทรดดู
จุดเริ่มต้นของ Cameron นั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เขาสูญเสียมูลค่าสุทธิไปครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 9,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 330,000 บาท) ซึ่งเงินก้อนนั้นเป็นเงินที่พ่อแม่มอบให้ รวมกับเงินเก็บทั้งชีวิตของ Cameron ซึ่งเป็นเงินได้มาจากงานเสริมที่เขาเคยทำเมื่อยังเด็ก
“ผมพบว่ามันก็ตลกดี เมื่อผมมองย้อนกลับไป ผมเคยบอกทุกคนว่าผมจะเลิก ผมเคยบอกครอบครัวแบบนี้ บอกเพื่อนทุกคนว่าผมจะไม่เทรดอีกต่อไป ไม่มีใครรู้ว่าช่วงนั้นมันคือช่วงเวลาที่แย่แค่ไหนสำหรับผม”
“แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถทำได้ ผมก็แค่… คุณรู้อะไรไหม ผมทำไม่ได้ ผมไม่อยากทำลายโอกาสที่จะทำให้ผมมีเงินมากพอเพื่อจะได้ใช้ชีวิตในวิทยาลัย”
โชคดีที่พ่อแม่ของ Cameron ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ จนในที่สุดเขาก็สามารถผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายจากการเทรดครั้งแรกไปได้ แต่การก้าวข้ามปัญหามาด้วยความช่วยเหลือจากครอบครัวกลับเป็นสิ่งที่ Cameron ไม่ต้องการเลย เพราะเขาไม่ต้องการให้พ่อแม่ช่วยเหลือตัวเขาในทุก ๆ อย่าง และไม่เคยคิดที่จะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้
“ในเส้นทางที่ผมเคยผ่านมันมา ผมจะไม่มีวันลืมการเทรดครั้งแรก เพราะนั่นคือครั้งที่ทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน แต่แล้วผมก็กลับมาอีกครั้งแบบเอาหลังพิงกำแพง”
“ผมผ่านช่วงนั้นมาด้วยการดู John McAfee พูดถึงหุ้นทุกวัน ผมเห็นเขาเริ่มจากเงินแค่ 30 เซนต์ เจ็ดวันต่อมาเขาก็มี 50 เซนต์ ผมย้อนกลับมาถามตัวเองว่าทำไม… ทำไมไม่เป็นผม ทำไมผมถึงทำแบบเขาไม่ได้ ทำไมผมถึงเป็นคน ๆ นั้นไม่ได้”
เพราะการไม่ยอมแพ้ คือสิ่งที่ Cameron ทำมาตลอด
หลังจากนั้น Cameron ก็พยายามหาความรู้เกี่ยวกับตลาด และแนวโน้มของตลาดตามข้อมูลทางสถิติเป็นเวลานาน ในที่สุด Cameron ก็กลับมาเทรดอีกครั้งในเดือนกันยายน 2019 ก่อนที่กระแสนักเทรดรายย่อยจะเฟื่องฟู
ตามสำเนาใบแจ้งยอดบัญชีรายเดือนที่ Cameron แชร์ให้กับทางสื่อ Insider ในครั้งนั้นเขาฝากเงินประมาณ 1,000 ดอลลาร์ในบัญชีกับ TD Ameritrade
หลังจากนั้นไม่นาน S&P 500 ก็ได้ผ่านช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความผันผวนมากเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ S&P 500 ต้องเผชิญกับการพังทลายและการฟื้นตัวที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา ดังนั้นนักลงทุนทุกคนที่ซื้อและถือสินทรัพย์มูลค่า 1,000 ดอลลาร์ในกองทุนดัชนี S&P 500 จะได้รับกำไรกลับไป 38% หรือประมาณ 380 ดอลลาร์
ทว่า Cameron กลับทำได้ดีกว่านั้นมาก โดยในใบแจ้งยอดบัญชีนายหน้ารายเดือนของ Cameron ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2019 จนถึงสิ้นปี 2020 ประกอบกับเอกสารภาษีฉบับเต็มของปี 2020 หรือที่เรียกว่าแบบฟอร์ม 1099-B ซึ่งจัดทำโดยนายหน้าของเขา เอกสารเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงผลกำไรเกือบล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
ในใบแจ้งยอด TD Ameritrade ของ Cameron แสดงเงินฝากเริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน 2019 ไว้ที่ 1,171 ดอลลาร์ แต่เอกสารภาษีประจำปีแสดงถึงผลกำไรเกือบ 994,000 ดอลลาร์ในบัญชีนั้น
Cameron เดินหน้าเทรดบน E-Trade ต่อไป โดยที่ใบแจ้งยอดในเดือนพฤษภาคม 2020 แสดงการโอนเงิน 100,000 ดอลลาร์ออกจากบัญชี และต่อมาเอกสาร 1099-B ของเขาก็ได้แสดงผลกำไรประมาณ 3.7 ล้านดอลลาร์ในเดือนธันวาคม
ตามเอกสารที่จัดทำโดยนายหน้า TradeZero แสดงให้เห็นว่า Cameron เทรดด้วยบัญชีนี้ตั้งแต่วันที่ 18 – 31 ธันวาคม และเห็นกำไรสุทธิ 506,000 ดอลลาร์จากเงินฝากเริ่มต้น 300,000 ดอลลาร์ที่แสดงในใบแจ้งยอดรายเดือนของเขา
ในช่วงเวลาเดียวกัน Cameron ได้ไลฟ์สดโชว์การเทรดหลายรายการที่ทำรายได้สุทธิ 50,000 ดอลลาร์ขึ้นไป และแสดงให้ทุกคนเห็น profit-and-loss positions ของเขาแบบรายวัน ซึ่งผู้ชมสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวของราคาที่เห็นในไลฟ์สดได้ และสามารถเห็นได้ว่าการเทรดของเขานั้นเกิดขึ้นจริง
จากข้อมูลในเอกสาร ประกอบกับผลกำไรที่เขาโชว์ในไลฟ์สด แสดงให้เห็นว่า Cameron ได้รับผลกำไรรวมสูงถึง 5 ล้านดอลลาร์จากสามบัญชี ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี
กลยุทธ์การเทรดของ Cameron
สถานการณ์ในปี 2020 ทำให้เกิดสภาวะตลาดที่เฉพาะเจาะจงมาก อย่างไรก็ดี Cameron คือนักเทรดคนหนึ่งที่สามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ของตลาดได้อย่างเหมาะสม
Cameron เปิดเผยกับทางสื่อ Insider ว่ากลยุทธ์หลักของเขาคือการเทรดรายวันแบบโมเมนตัม (momentum day trading) ซึ่งเป็นการเทรดที่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามแนวโน้มของราคาด้วยการซื้อหุ้นที่มีราคาเพิ่มขึ้นและขายหุ้นที่ราคาลดลง
Cameron กล่าวเสริมว่าเขา “เชื่อว่าคนอื่นสามารถประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน” ดังนั้นในปี 2021 เขาจึงเริ่มไลฟ์สอนคนอื่น ๆ บน YouTube ว่าเขาเทรดอย่างไร ในขณะเดียวกัน Cameron ก็กล่าวว่าวิธีการของเขาอาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมสำหรับนักเทรดคนอื่น ๆ
Cameron มักจะใช้กลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง อีกทั้งกลยุทธ์ของเขาก็อาจมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่ทั้งหมดต่างเป็นกลยุทธ์ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าทั้งนั้น โดยหลัก ๆ แล้ว Cameron จะใช้การเทรดหุ้นเพนนี (trading penny stocks) กลยุทธ์ in-and-out trading และกลยุทธ์ short-selling
กลยุทธ์ระยะสั้นและกลยุทธ์ระยะยาว
เมื่อ Cameron เทรดแบบโมเมนตัม เขาจะใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า “กลยุทธ์ระยะสั้น” โดย Cameron จะให้ความสำคัญกับจิตวิทยาการเทรด หรือคาดการณ์วิธีที่นักเทรดหุ้นรายอื่น ๆ อาจตอบสนองต่อความผันผวนของตลาดมากกว่าการศึกษาข้อมูลของบริษัท
Cameron จะมองหาหุ้นที่มีความผันผวน และซื้อในช่วงขาลง เพราะเขาคาดว่าราคาจะพลิกกลับในภายหลัง แต่เขาจะเทรดหุ้นด้วยวิธีนี้เพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น คือประมาณสามชั่วโมง ไปจนถึงสามวัน
นอกจากนี้ Cameron ยังให้ความสนใจกับพวกหุ้นมาแรงที่ผู้คนกำลังพูดถึงอีกด้วย รวมไปถึงหุ้นบางตัวที่อาจเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนรายย่อยที่เทรดด้วยเงินปริมาณมาก และถ้าหากเขาอ่านเจอข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับบริษัทของหุ้นตัวนั้น เขาก็จะถือหุ้นตัวนั้นในระยะยาว
ตัวอย่างหนึ่งของการเทรดที่ประสบความสำเร็จของ Cameron นั้นเกิดขึ้นในวันที่ 9 ธันวาคม หลังจากมีข่าวออกมาว่าบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ Greenwich LifeSciences (GLSI) มีผลการรักษามะเร็งเต้านมในเชิงบวก ดังนั้นเมื่อตลาดเปิด Cameron จึงเข้าซื้อ แล้วจากนั้นราคาหุ้น GLSI ก็พุ่งสูงขึ้นเกือบ 998% ในวันนั้นเพียงวันเดียว และ Cameron ทำเงินได้ 65,000 ดอลลาร์จากการขายหุ้นนั้น
นอกจากนี้ ถ้าหากราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้น 300% ขึ้นไปในหนึ่งหรือสองชั่วโมง Cameron จะมองหาหุ้นตัวอื่นที่อาจเกี่ยวข้องกับหุ้นตัวนั้นอีกด้วย ซึ่งมักจะเป็นหุ้นของบริษัทที่มีผลิตผลิตภัณฑ์เดียวกัน หรือให้บริการที่คล้ายคลึงกัน จากนั้นเขาจะกรองหุ้นแต่ละตัวว่าหุ้นตัวไหนราคาต่ำสุด หุ้นตัวไหนมีราคาสูงสุด และพิจารณาหุ้นราคาถูกอย่างใกล้ชิด
“โดยทั่วไปแล้ว หุ้นที่ถูกกว่าคือหุ้นที่สามารถทำกำไรได้มากที่สุด ดังนั้นถ้าหุ้นมีราคาประมาณ 60 ดอลลาร์ ราคาของมันจะเพิ่มเป็นสองเท่าได้ยากกว่าพวกหุ้นที่มีราคาแค่ 3 หรือ 4 หรือ 5 หรือ 6 หรือ 7 หรือ 8 ดอลลาร์” Cameron กล่าว
Cameronl กล่าวว่า เมื่อเขาเริ่มต้นด้วยเงิน 1,000 ดอลลาร์ เขาจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วมักเป็นหุ้นเพนนี และเขาจะไม่เทรดข้ามคืน
หุ้นบางตัวมีราคาเพิ่มขึ้นกว่า 200% เป็น 600% ในหนึ่งวัน และเมื่อกำไรของเขาสูงถึง 25,000 ดอลลาร์ เขาจะเลือกหุ้นที่มีการซื้อขายในราคาที่สูงขึ้น ทั้งนี้ Cameronl จะเทรดหุ้นของบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นหลัก โดยสิ่งสำคัญที่ Cameronl มองหา คือ การทำให้พอร์ตของเขามีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ
ที่มา: boundtoberich, elitetrader