ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าคริปโตเคอร์เรนซี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Bitcoin ได้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งในทั้งในประเทศไทย และในระดับโลก ซึ่งนักลงทุนหน้าใหม่ที่สนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลตัวนี้อาจเกิดคำถามขึ้นมากมาย ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน และเข้าซื้อตอนนี้จะยังคงทันรถคันนี้หรือไม่ บทความนี้รวมมาให้แล้วกับ 20 คำถามสำหรับมือใหม่ที่คิดอยากจะลงทุนกับ Bitcoin
พื้นฐานของ Bitcoin
1. บิทคอยน์ (Bitcoin) คืออะไร?
บิทคอยน์ (Bitcoin) คือสกุลเงินดิจิทัลชนิดหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยนักพัฒนาปริศนา “ซาโตชิ นากาโมโตะ” เมื่อ 16 ปีที่แล้ว (ค.ศ.2008) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นสกุลเงินใหม่ที่ปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล และเป็นตัวเก็บรักษามูลค่า โดยมีการเข้ารหัสเพื่อรักษาความปลอดภัยซึ่งจะใช้ตัวย่อว่า “BTC” และปัจจุบันมูลค่าตลาดของมันก็ทะลุ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย
2. ความแตกต่างระหว่าง Bitcoin กับคริปโตตัวอื่น
หลายคนอาจจะสงสัยว่าคริปโตกับบิทคอยน์ต่างกันอย่างไร ซึ่งตัวของคริปโตนั้นจะเป็นคำเรียกโดยรวมของสกุลเงินทั้งหมดที่มีการเข้ารหัส โดย Bitcoin เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทว่าเหรียญอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ Bitcoin จะถูกเรียกว่า “Altcoin” ที่แปลว่าเหรียญทางเลือก ซึ่งคุณสมบัติของ altcoins แต่ละตัวก็จะแตกต่างกันออกไป
3 มูลค่าของ Bitcoin มาจากไหน?
ในส่วนของข้อสงสัยที่ว่ามูลค่าของ Bitcoin มาจากไหน หลายคนอาจมองว่ามันเป็น “เงินที่สร้างขึ้นจากกลีบเมฆ” ที่ไม่มีมูลค่าจริง แต่ความจริงแล้ว Bitcoin มีมูลค่าที่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน ซึ่งไม่ได้มาจากการเก็งกำไรของตลาดเพียงอย่างเดียว
หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ “ต้นทุนของการขุด” การขุด Bitcoin ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าปริมาณมหาศาลในการประมวลผลเครือข่าย Blockchain ซึ่งต้นทุนค่าไฟฟ้านี้เองที่เป็นฐานสำคัญของมูลค่า Bitcoin ยิ่งกระบวนการขุดใช้พลังงานมากเท่าไร ต้นทุนก็ยิ่งสูงขึ้น และส่งผลให้ราคาของ Bitcoin สูงขึ้นตาม
นอกจากนี้ “อุปทานที่จำกัด” ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เนื่องจาก Bitcoin มีจำนวนเหรียญที่สามารถสร้างได้เพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น เมื่อปริมาณเหรียญในตลาดเริ่มลดลงจากการขุดที่ใกล้ครบกำหนด การมีอุปทานที่จำกัดนี้จะช่วยผลักดันราคาของ Bitcoin ให้สูงขึ้น เนื่องจากความต้องการยังคงมีอยู่ในระดับที่สูง
ดังนั้น มูลค่าของ Bitcoin ไม่ได้เกิดขึ้นจากการคาดเดาของนักลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่ยังสะท้อนถึงต้นทุนในการขุดและกฎพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ของความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานที่จำกัดไว้อย่างชัดเจน
4. Bitcoin เป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่?
สำหรับใครที่ยังเชื่อว่า Bitcoin เป็นแชร์ลูกโซ่ อาจจะต้องพิจารณาใหม่ เพราะคำกล่าวนี้ค่อนข้างเกินจริง
แชร์ลูกโซ่ คือระบบที่นำเงินจากนักลงทุนใหม่ไปจ่ายให้นักลงทุนเก่า โดยไม่มีสินค้าหรือบริการที่แท้จริงรองรับ แต่ Bitcoin ไม่ได้ทำงานในลักษณะนั้น เพราะระบบของมันถูกออกแบบให้โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ผ่านบล็อกเชน ซึ่งบันทึกทุกธุรกรรมอย่างละเอียดและไม่สามารถแก้ไขได้
อย่างไรก็ตาม คำวิจารณ์ที่ว่าผู้ที่เข้ามาลงทุน Bitcoin ในยุคแรก ๆ มักจะรวยกว่านักลงทุนหน้าใหม่ อาจมีความจริงบางส่วน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนักลงทุนในช่วงแรกซื้อเหรียญในราคาที่ต่ำกว่า และเมื่อราคาพุ่งขึ้นตามกลไกตลาด พวกเขาจึงสามารถขายออกในราคาที่สูงกว่า
ที่สำคัญ Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่ขับเคลื่อนด้วย อุปสงค์และอุปทาน รวมถึงเทคโนโลยีและความเชื่อมั่นของผู้ใช้งาน ไม่ใช่การหลอกลวงที่เอาเงินจากคนใหม่ไปให้คนเก่า ยิ่งไปกว่านั้น การกระจายตัวของ Bitcoin ยังถูกควบคุมโดยกระบวนการขุดที่ต้องใช้ทรัพยากรและเวลา ซึ่งต่างจากแชร์ลูกโซ่ที่เน้นการระดมทุนเพื่อหมุนเงิน
ดังนั้น การกล่าวว่า Bitcoin เป็นแชร์ลูกโซ่ อาจเป็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับโครงสร้างของมัน และมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่ามันถูกสร้างขึ้นจากหลักการทางเทคโนโลยีที่โปร่งใสและตรวจสอบได้
5. Bitcoin จะมีวันล้มไหม?
ด้วยการที่ Bitcoin ไม่มีหน่วยงานควบคุม และเคยถูกใช้ในตลาดมืด ทำให้มันถูกพูดถึงในวงกว้างถึงประเด็นความเสี่ยงที่มันจะล่มสลาย แต่กาลเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถทำอะไรมันได้ มิหนำซ้ำเมื่อไม่นานมานี้สถาบันยังได้เข้ามาเปิดกองทุน ETF ส่งผลให้ความเป็นไปได้ที่ Bitcoin จะล้มแทบจะเหลือ 0
ในทางเทคนิคแล้วการที่ Bitcoin จะล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์นั้นเป็นไปได้ยากมาก ๆ เนื่องจากโครงสร้างของระบบถูกออกแบบมาให้กระจายศูนย์ (Decentralized) โดยสมบูรณ์ สำหรับผู้ที่คิดว่า Bitcoin อาจล่มสลาย จำเป็นต้องเข้าใจว่าการทำลายระบบนี้หมายถึงการเข้าควบคุม nodes ซึ่งทำหน้าที่เหมือนศูนย์ควบคุมเครือข่ายให้ได้มากกว่า 51%
อย่างไรก็ตาม nodes เหล่านี้ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง แต่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ไม่มีใครทราบตำแหน่งที่แน่ชัดทั้งหมด เนื่องจากผู้ที่รัน nodes สามารถทำได้โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตนหรือสถานที่ตั้ง การกระจายตัวในลักษณะนี้ทำให้การควบคุมเครือข่าย Bitcoin เป็นไปได้ยากมาก ๆ
นอกจากนี้ การจะควบคุม nodes ให้ได้เกิน 51% ยังต้องใช้ทรัพยากรทางเทคโนโลยีและพลังงานมหาศาล ซึ่งไม่เพียงแต่จะมีต้นทุนสูงจนไม่คุ้มค่า แต่ยังเสี่ยงที่จะถูกต่อต้านจากชุมชน Bitcoin ทั่วโลกที่พร้อมจะปกป้องระบบจากการถูกควบคุม
ด้วยเหตุนี้ ระบบ Bitcoin จึงถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงและแทบจะไม่สามารถถูกทำลายได้จากการโจมตีในลักษณะนี้ การกระจายตัวของ nodes ถือเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดที่ช่วยให้ Bitcoin ยังคงอยู่รอดในโลกการเงินดิจิทัล
6. Bitcoin เกี่ยวกับบล็อกเชนอย่างไร
ตามที่ระบุไปข้างต้น Bitcoin มีการเข้ารหัสและทำงานกันบนระบบกระจายศูนย์ ซึ่งระบบนั้นใช้ชื่อว่า “บล็อกเชน” ที่เป็นการนำข้อมูลมารวมกันในกล่องแล้วผูกต่อกันเป็นทอด ๆ เหมือนบล็อกที่ต่อกันด้วยโซ่นั่นเอง
7. ไฟดับ-คอมระเบิด- มือถือหาย จะส่งผลต่อ Bitcoin หรือเปล่า?
เนื่องจาก Bitcoin มีตัวตนอยู่บนโลกดิจิทัล การที่คำถามดังกล่าวจะเกิดขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ซึ่งตัวของ Bitcoin นั้นแม้ว่าไฟบ้านจะดับหรือคอมพิวเตอร์เสีย Bitcoin ของเราก็จะไม่มีทางสูญหาย และต่อให้มือถือจะโดนขโมยหรือสูญหาย ตราบที่เรามีรหัสคีย์ของกระเป๋าไว้กับตัวก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเลยว่าจะมีคนขโมย Bitcoin คุณได้ เว้นแต่คุณจะต้องการให้ผู้อื่นเข้าถึงบัญชี
8. ใครจะขโมย Bitcoin เราออกไปได้บ้าง ?
นอกเหนือจากการที่อุปกรณ์สูญหายแล้ววิธีเดียวที่จะทำให้บุคคลภายนอกสามารถเข้าถึง Bitcoin ของคุณได้คือการวางกับดัก ไม่ว่าจะเป็นการล่อให้กดลิงก์เว็บไซต์ (ฟิชชิ่ง) หรือปลอมตัวเข้ามาช่วยเหลือ ดังนั้นถ้าหากมีรหัสผ่านจงอย่าบอกรหัสผ่านดังกล่าวให้ใครทราบเป็นอันขาดและไม่ควรเก็บเป็นไฟล์ไว้อย่างโจ่งแจ้ง
9. วัฏจักร 4 ปี ของ Bitcoin คืออะไร ?
Bitcoin และตลาดคริปโตเคอร์เรนซี มีลักษณะเฉพาะที่เรียกกันว่า “วัฏจักรคริปโต” (Crypto Cycle) ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของราคาที่เป็นไปตามรอบ ทุก ๆ 4 ปี Bitcoin มักจะพุ่งขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ตลาดคริปโตเข้าสู่ช่วง ขาขึ้น (Bull Market) ดึงดูดนักลงทุนจำนวนมากให้เข้ามาในตลาด
แต่เมื่อช่วงขาขึ้นสิ้นสุด ราคาก็มักจะปรับตัวลงเข้าสู่ ขาลง (Bear Market) หรือที่เรียกว่า ตลาดหมี ซึ่งช่วงเวลานี้มักจะยาวนานกว่าช่วงขาขึ้น โดยในวัฏจักรครั้งก่อน ราคา Bitcoin ร่วงลงจากจุดสูงสุดที่ประมาณ $63,000 ไปแตะระดับต่ำสุดที่ $20,000
สำหรับนักลงทุนที่สามารถอดทนต่อแรงกดดันในช่วงขาลงและไม่ตื่นตระหนกขายออกในราคาต่ำ มักจะสามารถเอาตัวรอดและกลับมาทำกำไรได้ในวัฏจักรถัดไป
การเข้าใจธรรมชาติของวัฏจักรคริปโตจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน เพราะมันช่วยให้เรารับมือกับความผันผวนได้ดีขึ้น และไม่ตัดสินใจผิดพลาดในช่วงเวลาที่ตลาดกำลังเปลี่ยนแปลง
อยากจะตามเทรนด์ต้องรู้อะไรบ้าง
10. เข้าซื้อ Bitcoin ตอนนี้จะทันไหม?
คำถามฮอตฮิตที่สุดในตอนนี้คงจะหนีไม่พ้น “เข้าซื้อ Bitcoin ตอนนี้จะทันไหม” ซึ่งถ้าให้ตอบเลยก็คงต้องตอบว่า “ทัน” แต่ผลกำไรที่ได้อาจไม่น่าตื่นตาเท่ากับคนที่เข้ามาในช่วงตลาดหมี ดังนั้นถ้าหวังทำกำไรมาก ๆ ในระยะเวลาอันสั้นอาจจะต้องคิดทบทวนสักเล็กน้อยก่อนเริ่มการลงทุน
11. ราคา Bitcoin จะไปได้สูงถึงเท่าไร?
ในขณะที่รายงาน Bitcoin มีการซื้อขายกันอยู่ที่ $87,000 โดยมันเคยทำสถิติสูงสุดเฉียดแตะ $89,000 ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาของมันจะไปได้มากกว่า $100,000 ในปี 2025 อย่างไรก็ตามหากมองในระยะยาวอีก 10-20 ปีข้างหน้า ราคาของ Bitcoin อาจไปได้ถึงหลักล้าน แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การวิเคราะห์เพียงเท่านั้นและไม่ควรปักใจเชื่อทั้งหมด
12. อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ราคา Bitcoin ขยับขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้ ราคา Bitcoin ขยับขึ้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ปัจจัยหลักที่ทำงานร่วมกัน ปัจจัยแรกคือ อุปทานจากฝั่งนักขุด เนื่องจาก Bitcoin มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ เมื่อใกล้ถึงขีดจำกัด อุปทานในตลาดก็จะลดลง ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกความต้องการและการขาดแคลน ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการขุดยังใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ทำให้ต้นทุนการขุดมีส่วนช่วยกำหนดราคาของ Bitcoin ปัจจัยต่อมาคือ ข่าวสารและการพัฒนา ซึ่งมักส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของตลาด ไม่ว่าจะเป็นข่าวเชิงบวก เช่น ผลการเลือกตั้ง การยอมรับในระดับประเทศ หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin สิ่งเหล่านี้มักกระตุ้นแรงซื้อและผลักดันราคาให้สูงขึ้น
นอกจากนี้ ปัจจัยทางเทคนิคและแนวโน้มของตลาด ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน โดยรูปแบบกราฟ เช่น การทะลุแนวต้านหรือยืนเหนือแนวรับ ส่งสัญญาณให้เทรดเดอร์และนักลงทุนเข้าซื้อขาย ประกอบกับแนวโน้มความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มองว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในระยะยาว ก็ช่วยเสริมให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อปัจจัยทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกัน จะสร้างแรงสนับสนุนให้ Bitcoin พุ่งทะยานและเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดคริปโต
13. จะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้ตลาดเป็นอย่างไร ?
การที่เราจะสามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ในตลาดได้นั้น “อินดิเคเตอร์” เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการใช้ชี้วัดว่าในขณะนี้มาถึงจุดสูงสุดหรือยัง โดยเราจะมาแนะนำ indicator สำคัญทั้ง 5 ตัวดังต่อไปนี้
1> Rainbow Chart – เครื่องมือการประเมินมูลค่าระยะยาวที่ใช้เส้นการเติบโตแบบอัลกอริทึมเพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาที่เป็นไปได้ในอนาคตของ BTC
2> กราฟ RSI – ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ช่วยให้นักลงทุนประเมินโมเมนตัมของราคาว่ากำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด และมีโอกาสที่จะเปลี่ยนทิศทางหรือไม่ ซึ่งถ้าต่ำกว่า 30 หมายความว่า มีการขายมากเกินไป แต่ถ้าเกิน 75 หมายความว่ามีการซื้อมากเกินไป
3> 200 Week Moving Average Heatmap – ตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นว่าจุดราคาปัจจุบันอยู่ในโซนที่เหมาะจะซื้อหรือถือ ถ้าเป็นสีน้ำเงินคือยังคงถือได้ แต่ถ้าสีส้มหมายความว่าให้รีบขาย
4> Cumulative Value Coin Days Destroyed(CVDD) – อัตราส่วนที่คำนวณจาก ผลรวมของ Coin Days Destroyed (CDD) ที่ถูกสะสมและแปลงค่าเป็นดอลลาร์สหรัฐ สำหรับทุก Bitcoin ที่มีการเคลื่อนไหวในวันนั้น โดยค่าดังกล่าวจะถูกนำไปหารด้วย อายุตลาดของ Bitcoin แล้วคูณด้วยค่าคงที่ 6,000,000 ซึ่งตำแหน่งกราฟของมันมักจะแสดงจุดต่ำสุดของ Bitcoin ได้แม่นยำ
5> 2-Year MA Multiplier – เครื่องมือนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักลงทุนประเมินมูลค่าของ BTC ในระยะยาว โดยอาศัยหลักการของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าราคาสูงกว่าดัชนีหมายความว่าอาจปรับลดลง แต่หากต่ำกว่าดัชนีก็อาจกลายเป็นขาขึ้น
14. ลงทุนใน Bitcoin จะมีความเสี่ยงที่จะถูก “ล้างพอร์ต” หรือ หมดตัวบ้างไหม
ในโลกของการลงทุน หนึ่งสิ่งที่นักลงทุนอาจกลัวที่สุดคือการถูก ‘ล้างพอร์ต’ หรือ ‘พอร์ตแตก’ ส่งผลให้สูญเสียเงินทั้งหมด ซึ่งในกรณีของ Bitcoin หากซื้อขายกันตามปกติไม่ได้เปิดสัญญาฟิวเจอร์ส พอร์ตของนักลงทุนจะไม่มีวันลดลงเหลือ 0 อย่างแน่นอน มีแต่จะติดดอยหากซื้อมาแพงเท่านั้น ส่วนกำไรขาดทุนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวนักเทรดเอง อย่างไรก็ตามหากบัญชีเทรดถูกปล้นหรือเว็บเทรดปิดตัวก็อาจสูญเงินได้ทั้งจำนวนได้เช่นกันดังนั้นต้องระวังในจุดนี้ไว้ให้ดี
15. จะลงทุนใน Bitcoin ต้องใช้งบจำนวนเท่าไร?
การลงทุนใน Bitcoin คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่าจำเป็นต้องซื้อ 1 Bitcoin เหมือนกับการซื้อหุ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมีเงิน 3 ล้านบาทในการซื้อ Bitcoin 1 เหรียญ และอุปทานของมันก็มีจำกัดทำให้ทุกคนต้องแบ่งเสี้ยวของ Bitcoin กัน ดังนั้นต่อให้คุณมีเงินลงทุนหลักร้อยคุณก็สามารถซื้อ Bitcoin ได้ แต่ถ้าจะให้ดีควรลงทุนด้วยเงินที่เราไม่ทำให้ชีวิตประจำวันต้องเดือดร้อนจะเป็นการดีที่สุด และให้มองมันเป็นการเก็บออม
16. จังหวะไหนถึงจะควรเข้าซื้อ Bitcoin ?
จังหวะในการเข้าซื้อนั้นก็สำคัญเพราะไม่ว่าใครก็อยากจะซื้อถูกขายแพง ดังนั้นถ้าหากไม่มั่นใจว่าราคา Bitcoin จะพุ่งต่อเนื่อง การเข้าซื้อในขณะที่ราคาปรับตัวลงมาก็เป็นวิธีที่น่าสนใจ แต่ถ้าหากไม่อยากมานั่งติดตามกราฟ ก็ให้นักลงทุนใช้วิธี DCA หรือการทยอยซื้อ Bitcoin ด้วยเงินจำนวนเท่า ๆ กันอย่างต่อเนื่องหลายปีติดต่อกัน ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ใช้วิธีดังกล่าวแม้จะใช้เวลานาแต่ก็กำไรด้วยกันทั้งสิ้น เพราะมีการเฉลี่ยต้นทุน
17. ซื้อ Bitcoin ได้ที่ไหนบ้าง?
สุดท้ายนี้ หากคุณกำลังมองหาการลงทุนใน Bitcoin สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกซื้อขายผ่าน ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต. เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการลงทุนของคุณอยู่ภายใต้การควบคุมที่โปร่งใสและปลอดภัย
การซื้อขายผ่านศูนย์ที่ได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต.ยังช่วยให้นักลงทุนลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงหรือการแฮ็กที่อาจเกิดขึ้นในแพลตฟอร์มที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยตัวอย่างศูนย์ซื้อขายที่ได้รับการรับรอง เช่น
- Bitkub เว็บเทรดอันดับต้น ๆ ของไทย (อ่านรีวิวได้ที่นี่)
- Binance TH (อ่านรีวิวได้ที่นี่)
- Orbix
- Upbit
การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้พร้อมและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ ก่อนตัดสินใจลงทุน