<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Richard Teng ทึ่ง! กว่า 12% ของวอลุ่มเทรด Altcoins บน Binance ปีนี้มาจาก“เหรียญมีม”

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Richard Teng ซีอีโอคนปัจจุบันของ Binance เว็บเทรดคริปโตอันดับต้น ๆ ของโลกได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ตัวของเขาคาดการณ์ว่าตลาดคริปโตในปี 2025 จะยิ่งรุนแรง และเติบโตได้มากยิ่งขึ้นถึงขนาดแซงหน้าอัตราการเติบโตที่สูงลิ่วในปี 2024 ได้เลยทีเดียว

ความเห็นของ Teng มาจากการที่นักลงทุนสถาบันได้เริ่มให้ความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัล ประกอบกับกฎหมายการกำกับดูแลที่มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเขาเชื่อมั่นว่าสองปัจจัยนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในปีหน้า

ทั้งนี้ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นปี Teng กล่าวว่า เราได้เห็นการอนุมัติกองทุน Bitcoin ETFs ทั้งในสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ซึ่งจำนวนเงินที่ไหลเข้ามาgpvtมากจนเอาชนะทองคำได้เลยทีเดียว ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการใน Bitcoin ที่อัดอั้นมาอย่างยาวนาน มากไปกว่านั้นหน่วยงานรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ยังได้เริ่มเห็นถึงความสำคัญของ Bitcoin อีกด้วย

หนึ่งสิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดในบทสัมภาษณ์ของ Richard Teng คือประเด็นของเหรียญมีม ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ร้อนแรงที่สุดในโลกของคริปโตในขณะนี้

Richard Teng  เล็งเห็นถึงความสำคัญของเหรียญมีม ว่าตัวของมันนั้นมีเสน่ห์น่าดึงดูดและสามารถเรียกนักลงทุนรายย่อยให้เข้ามาในตลาดได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าตัวของเหรียญมีมนั้นมีทั้ง “ความสนุก , ความตื่นเต้น , และความเข้ากันได้กับนักลงทุนอายุน้อย” ซึ่งหลายครั้งเหรียญมีมมักจะเป็นก้าวแรกในการลงทุนคริปโตของบุคคลกลุ่มนี้

อย่างไรก็ตามข้อมูลยังเผยให้เห็นอีกว่า แม้จะเป็นเทรนด์ใหม่แต่เหรียญมีมนั้นกลับมีวอลุ่มการซื้อขายที่สูงถึง 12% เมื่อนับจากวอลุ่มการเทรดของ altcoins ทั้งหมด

อย่างไรก็ตามด้วยการที่ระยะหลังมานี้ Binance เริ่มมีการลิสต์เหรียญมีมเพิ่มขึ้นทำให้หลายฝ่ายวิจารณ์ว่าแพลตฟอร์มกำลังหลอกลวงนักลงทุนในรูปแบบของ pump-and-dump ซึ่ง Teng ก็ได้ออกมาอธิบายว่าทาง Binance มีกฎการลิสต์เหรียญที่เข้มงวด และโปรเจกต์เหล่านี้จำเป็นต้องมีรากฐานที่แข็งแกร่งจึงจะมาอยู่บน Binance ได้

สุดท้ายนี้เขากล่าวว่าเมื่อใดก็ตามที่หน่วยงานกำกับดูแลสามารถทำงานร่วมกับคริปโตได้อย่างราบรื่น เมื่อนั้นจะถึงเวลาที่สินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชนจะแสดงพลังและความสามารถของมันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งมันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับโลก

ที่มา : Benzinga