<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

“ท๊อป จิรายุส” แนะ ! ประเทศไทยควรเริ่มศึกษาเทรนด์ใหม่โลกการเงิน ก่อนที่จะสายเกินไป

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

“ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทเครือ Bitkub ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ TNN Tech Originals ถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นทั่วทั้งโลก โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่เศรษฐกิจดิจิทัล

ในช่วงต้นของรายการคุณท๊อปได้พูดถึงผลกระทบของการที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งคุณท๊อปมองว่าการมาของทรัมป์จะทำให้ โลกจะเริ่มแบ่งตัวออกเป็นหลาย ๆ ฝ่ายและเกิดการแข่งขันทางการค้าอย่างรุนแรง ซึ่งประเทศไทยก็ควรที่จะรวมตัวเข้ากับประเทศกลุ่มอาเซียนเพื่อพลักดันให้เสียงของคนในภูมิภาคทัดเทียมกับมหาอำนาจ

ต่อมาประเด็นในส่วนของ Bitcoin คุณท๊อปมองว่า เมื่อไรก็ตามที่สหรัฐฯตัดสินใจจะเก็บ Bitcoin เป็นทุนสำรองของประเทศที่ 1 ล้าน BTC หรือ 5% ของอุปทานสูงสุด โลกจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และผู้ที่ไม่ได้ครอบครอง Bitcoin จะขาดดุลอย่างมหาศาล ส่วนรายย่อยก็แทบที่จะหมดสิทธิในการครอบครอง 1 BTC ซึ่งในปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ก็เริ่มปรับตัวให้ตามกระแสทันแล้วไม่ว่าจะเป็น ภูฏาน หรือ เอลซัลวาดอร์ 

ดังนั้นประเทศไทยควรเริ่มศึกษาการเก็บ Bitcoin เป็นทุนสำรองประเทศ แม้ว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บในรูปแบบนี้ทั้งหมดแต่ก็ควรค่าที่จะพิจารณา เพื่อรับมือกับอนาคตที่มาถึง มิเช่นนั้นประเทศไทยสูญเสียเงินมหาศาลเพียงเพื่อจะซื้อ Bitcoin ตามประเทศอื่นเพื่อนำมาค้ำประกันสกุลเงินของตนเองให้ยังคงมีความน่าเชื่อถือ

อีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจคือเรื่องของ อนาคตของเงิน ซึ่งคุณท๊อปกล่าวว่าเงินในอนาคตจะไม่ใช่กระดาษอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นก็เป็นผลมากจากภาวะโลกร้อนที่ต้องหาบางสิ่งบางอย่างเข้ามาทดแทนเงินกระดาษที่สร้างมลภาวะให้กับโลก โดยเงินดิจิทัลนั้นก็เป็นคำตอบของปัญหา เพราะนอกจากจะรักษาทรัพยากรแล้ว เศรษฐกิจดิจิทัลยังเป็นเรื่องสำคัญที่กำลังเป็นที่จับตากันในปัจจุบันจากหลายประเทศ และนั่นยังไม่รวมถึงการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น และปัญหาภาษีอีกด้วย

สุดท้ายนี้คุณท๊อปคาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะมาเร็วกว่าที่คิด และอาจใช้เวลาน้อยกว่า 10 ปี โดยยกตัวอย่างพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ที่ผู้คนหันมาพึ่งพาดิจิทัลมากขึ้น พร้อมแนะนำว่าให้จับตาดูตลาดคริปโตในครั้งนี้ให้ดีเพราะต่อจากนี้คริปโตจะไม่ใช่ตลาดที่หมุนเวียนด้วยเงินของนักลงทุนรายย่อยอีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็นเงินของสถาบันและรัฐบาลที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น

ที่มา : Youtube