ท๊อป จิรายุส สนับสนุนแนวคิดการออก Stablecoin มาใช้จ่ายในโครงการ Phuket Sandbox เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ โดยมองว่านี่เป็นโอกาสในการดึงเงินจากตลาดคริปโตระดับโลกซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่เศรษฐกิจไทย และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไปถึงระดับรากหญ้าโดยไม่เพิ่มหนี้สาธารณะหรือสร้างภาระงบประมาณให้ประเทศ
นาย จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวกับ”ฐานเศรษฐกิจ” ถึงแนวคิดของรัฐบาล ที่ให้กระทรวงการคลัง ศึกษาการออก Stablecion เพื่อชำระสินค้าและบริการ โดยใช้ภูเก็ตเป็นพื้นที่ทดสอบ (Phuket Sandbox) ว่า ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมคุณทักษิณที่เป็น Visionary Leader คนหนึ่งของประเทศ และมี Intellectual Humility (คนที่เป็นเหมือนน้ำไม่เต็มแก้ว) ในการมองหาสิ่งใหม่ๆ และโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ
โดยเห็นด้วยกับ Phuket Sandbox 100% เพราะหนึ่งในปัญหาใหญ่ของประเทศไทยตอนนี้คือ กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร โดยไม่ให้หนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ หรือ Debt to GDP แย่ลงกว่านี้ โดยขณะนี้อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Debt to GDP Ratio) อยู่ที่กว่า 90% สูงที่สุดในประวัติศาสตร์
โดยการที่รัฐใช้เงินงบประมาณหรือกู้เงินมาใช้จ่ายโดยตรง เช่น การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ อาจจะทำให้เกิดภาระหนี้เพิ่มขึ้น ดังนั้นควรใช้โอกาสจาก “Free Money” โดยการเปิดให้ใช้ คริปโต ซึ่งเป็นเงินที่มีอยู่แล้วในระบบคริปโต โดยไม่ต้องกู้หรือสร้างภาระหนี้ใหม่ ซึ่งปัจจุบันตลาดคริปโตมีมูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 136 ล้านล้านบาท (คิดที่ 34 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ) และจะเห็นได้ว่ามีขนาดใหญ่กว่า GDP ของประเทศไทยถึงเกือบ 10 เท่า โดยคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าตลาดดังกล่าวจะเติบโตถึง 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,400 ล้านล้านบาท
สิ่งที่เราต้องทำคือ ยกเลิก Capital Gain on Crypto อย่างดูไบ ที่ยกเลิกแล้ว ส่งผลให้ทุกคนไป Cash out ที่ดูไบจนทำให้มั่งคั่ง กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมาก ถ้า Phuket Sandbox เริ่มต้นทดลองทำแล้วประสบความสำเร็จ แล้วนักท่องเที่ยวมีคุณภาพ ที่มีการใช้จ่ายสูงทั้งหมด เช่น ชาวรัสเซียโดยเฉลี่ยมีการใช้จ่ายเฉลี่ย 60,000 บาทต่อคน สามารถใช้จ่ายเป็นคริปโต ประกอบกับการทำงานในอนาคตเปลี่ยนไปที่ทุกคนคนทำงานออนไลน์เป็น Digital Nomad หมด แล้วรับเป็นคริปโต หรือ Stablecoin แทนเงินสด (Fiat Money) เพราะโอนเงินด้วยเงิน Fiat ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
หรือไม่มีความคุ้มค่าในแง่ของต้นทุน เช่น Digital Nomad คนหนึ่งรับงานจาก 10 บริษัท แต่ละบริษัทจ่ายค่าจ้างแค่ 500 บาท การโอนเงิน 500 บาทข้ามประเทศไม่คุ้มค่า เพราะค่าธรรมเนียมการโอนสูงเกินไปเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่โอน ทำให้คนกลุ่มนี้ต้องหันมารับเงินเป็นคริปโตแทน เพราะค่าธรรมเนียมต่ำกว่าและทำธุรกรรมได้สะดวกกว่า แต่ถ้าคนกลุ่มนี้ไม่สามารถใช้คริปโตจับจ่ายใช้สอยในประเทศได้เท่ากับว่าพวกเขาไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้
แต่ถ้าเรารับ Crypto as Payment อันนี้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไปถึงระดับรากหญ้าเลย โดยที่ประเทศไม่เสียอะไร ไม่ต้องขาดดุลเพิ่ม ไม่ต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต้องใช้เงินงบประมาณ (Physical Stimulus) แต่เป็นการดึงเงินจากตลาดคริปโตโลกที่มีมูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนอกประเทศเข้ามาในระบบเศรษฐกิจไทย
ซึ่งสิ่งแรกที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การยกเลิกภาษีกำไรจากคริปโต (Capital Gain on Crypto) เพราะไม่มีใครอยากไปขายที่ทะเลทราย แต่อยากมาขายที่ทะเลสวยภูเขาสวยกันทั้งนั้น แต่ดันมีภาษีคริปโตที่อาจจะเก็บได้ไม่หมด ทำให้คนหนีไปขายที่ดูไบ แล้วค่อยโอนเงินกลับมา แต่ถ้าเรายกเลิกแล้วเงินเข้าประเทศ สุดท้ายภาษีก็ถูกจัดเก็บได้อยู่แล้วผ่าน Indirect Channel ต่างๆ ที่เก็บได้ประสิทธิภาพกว่า
สิ่งที่สองคือ ถ้า Crypto as Payment ได้ผลที่ภูเก็ต แล้วขยายผลออกไปทั่วประเทศ จะทำให้เงินใหม่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจโดยที่รัฐบาลไม่ต้องเพิ่ม อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Debt to GDP Ratio)
ไม่รวมเรื่องการระดมทุน โดยขณะนี้การระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ ที่ 1,300-1,400 จุด สภาพคล่อง (Liquidity) ในตลาดหลักทรัพย์ไทยลดลงมาก การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยมีปริมาณน้อยลง เงินหมุนเวียนในระบบน้อยลง ควรหันไประดมทุนผ่านตลาดโลก โดยเฉพาะผ่านเทคโนโลยี บล็อกเชน ที่ตลาดคริปโตที่มีมูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์เป็นแหล่งเงินทุนขนาดใหญ่ นักลงทุนทั่วโลกสามารถลงทุนในโครงการของคนไทยได้โดยตรง จะช่วยนำเงินลงทุนใหม่ๆ เข้ามาในระบบ เพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดทุนไทย
ส่วน Bitkub จะเข้าไปร่วมใน Phuket Sandbox นี้หรือไม่นั้นหากรัฐบาลเล็งเห็นถึงศักยภาพและให้โอกาสกับเรา เพราะบิทคับ กรุ๊ป มีบริษัทในเครือที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ต่างๆ เรามีความพร้อมและมองว่า สิ่งนี้จะเป็นโอกาสให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก
ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ