<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Sam Altman ทำนายอนาคตมนุษยชาติจะเป็นอย่างไรในยุคแห่ง AI ปี 2035

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเอไอชื่อดัง “OpenAI” ผู้อยู่เบื้องหลัง ChatGPT เคยได้เขียนบทความที่ชื่อว่า Three Observations ในบล็อกส่วนตัวของเขา ซึ่งเป็นการทำนายถึงอนาคตของ AI ที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์

ในช่วงต้นของบทความ Altman ได้กำชับว่าเป้าหมายของพวกเขาคือ การทำให้ AGI (Artificial General Intelligence) สร้างผลประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติ 

สำหรับคำว่า AGI หมายถึง ระบบของปัญญาที่สามารถแก้ไขปัญหาซับซ้อนได้เทียบเคียงกับมนุษย์ได้ในหลายสาขาวิชา ปัจจุบันเรากำลังจะก้าวสู่ยุคที่เทคโนโลยีและแนวคิดดังกล่าวกำลังเป็นที่ประจักษ์ การเดินหน้าอย่างต่อเนื่องของนวัตกรรมของมนุษย์ได้นำมาสู่ระดับความเจริญรุ่งเรืองแบบที่ไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน และมันยังสามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คนในเกือบทุกด้าน

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่า AGI จะเป็นเพียงแค่เครื่องมือหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่การมาถึงของมันในครั้งนี้จะไม่เหมือนกับนวัตกรรมที่เคยได้เห็นกันมาแต่อดีต เพราะเศรษฐกิจจะโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด และโลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เพียงลองจินตนาการดูว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเราอยู่ในโลกที่เราสามารถรักษาโรคภัยได้ทุกอย่าง และมีเวลาร่วมกับครอบครัวมากขึ้น

Altman ทำนายว่า ในทศวรรษข้างหน้า ทุกคนบนโลกใบนี้อาจที่จะสามารถสร้างผลงาน หรือบรรลุผลสำเร็จได้เหนือกว่าบุคคลที่เก่งกาจที่สุดในโลกในปัจจุบัน นอกจากนี้เขายังตั้ง 3 ข้อสังเกต เกี่ยวกับ AI ในอนาคต ซึ่งจะประกอบไปด้วย

1. ความฉลาดและศักยภาพของโมเดล AI จะขึ้นอยู่กับจำนวนของทรัพยากรที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล, เงินทุน, พลังประมวลผล และอื่น ๆ หมายความว่า ตราบใดที่ยังมีทรัพยากรให้ใช้งานขีดจำกัดความสามารถของ AI ก็จะยิ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

2. ต้นทุนการใช้ AI จะลดลง 10 เท่าในทุกๆ 12 เดือน ซึ่งการที่ราคาลดลงจะส่งผลทำให้เกิดผู้ใช้งานมากขึ้น

3. มูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของ AI จะพุ่งทะยานอย่างรุนแรงทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเห็นการชะลอตัวในการลงทุนอุตสาหกรรม AI

ทั้งนี้ทั้งนั้น หากข้อสังเกตทั้ง 3 เป็นจริงขึ้นมา มันจะสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสังคมมนุษย์ และเรากำลังจะได้พบเจอกับ AI agents ในไม่ช้า

Altman อธิบายว่า สมมติว่ามี AI วิศวกรซอฟต์แวร์ ตัวหนึ่งที่สามารถทำผลงานได้เทียบเท่ากับมนุษย์ที่มีประสบการณ์ทำงานในบริษัทชั้นนำมานานหลายปี ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร หากลองจินตนาการต่อดูว่าหากจำนวนของมันเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 หรือ 1 ล้านตัว และอยู่ในทุกๆสาขาวิชาชีพ อีกทั้งเขายังเปรียบเทียบ AI ว่าเป็นเหมือนกับตัวทรานซิสเตอร์ ที่เป็นการค้นพบครั้งใหญ่และมันซึมลึกอยู่ในทุกที่โดยที่เราไม่รู้ตัว 

ทั้งนี้ Altman ทำนายว่าโลกจะไม่ได้เปลี่ยนแบบพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันที แต่มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปในระยะยาวโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ผู้คนจะมีสิ่งใหม่ ๆ มากมายให้ทำ มีวิธีใหม่ ๆ ให้แข่งขัน และงานในอนาคตจะแตกต่างจากงานในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิงซึ่งผลกระทบจะแตกต่างกันไปตามแต่ละอุตสาหกรรม

Altman ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ในอนาคตราคาของสินค้าบางชนิดจะลดลงอย่างมาก แต่ราคาของสินค้าฟุ่มเฟือย หรือสินค้าที่มีจำกัดเช่น ที่ดิน จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล 

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของความกังวลว่า AI จะเข้ามาทำลายล้างมนุษย์ Altman ระบุว่าเขาเชื่อมั่นว่ามนุษย์ยังคงเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมและดูแลเทคโนโลยี AI แต่ในอนาคตอาจเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะจะมีกลุ่มคนที่สามารถเข้าถึง AI ได้ แต่จะมีผู้คนอีกกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงมันได้ทำให้ศักยภาพการทำงานนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน และอาจต้องหาทางแก้ไขปัญหาในจุดนี้ต่อไป 

สุดท้ายนี้ Altman ระบุว่าในปี 2035 ควรที่จะสามารถเข้าถึงความรู้อันไร้ขีดจำกัดนี้ได้ เพราะในปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากที่มีทักษะแต่ขาดแคลนทรัพยากร ดังนั้นถ้าเราเปลี่ยนแปลงในจุดนี้ได้เราอาจได้เห็นโลกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

ที่มา : Sam Altman