เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา 3 หน่วยงานทางการเงินของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้แก่ สำนักงานประกันเงินฝากแห่งชาติ (FDIC), สำนักงานผู้ควบคุมสถาบันการเงิน (OCC), และคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ได้ร่วมกันออกเอกสารสำคัญชื่อ “การเก็บรักษาคริปโตโดยสถาบันการเงิน (Crypto-Asset Safekeeping by Banking Organizations)” เพื่อชี้แจงถึง “ความเสี่ยง” ที่ธนาคารจะต้องเผชิญ หากคิดจะให้บริการ custody หรือ “ดูแลเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล” แก่ลูกค้า
เอกสารฉบับนี้ไม่ได้มีข้อบังคับใหม่โดยตรง แต่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นกรอบพิจารณาสำหรับธนาคารที่กำลังตัดสินใจตบเท้าเข้าสู่วงการคริปโต โดยเฉพาะในยุคที่ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลพุ่งสูงจนดึงดูดใจสถาบันการเงินกระแสหลักมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในเอกสารระบุชัดว่า ความเสี่ยงหลักที่แบงก์จะต้องประเมิน ได้แก่ หนึ่ง: ความซับซ้อนของสินทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็วและอาศัยความเข้าใจลึกซึ้ง สอง: ความเสี่ยงด้านความรับผิดชอบ หากเกิดกรณีเหรียญสูญหายหรือถูกแฮ็ก และสาม: ภาระด้านกฎหมายและ compliance โดยเฉพาะภายใต้กฎหมาย Bank Secrecy Act และกฎต่อต้านฟอกเงิน (AML) ที่ครอบคลุมถึงกิจกรรมด้านคริปโต
สิ่งหนึ่งที่หลายแบงก์เลือกทำคือพึ่งพา “sub-custodian” หรือผู้รับฝากสินทรัพย์รายย่อย เช่น Coinbase หรือ Anchorage แต่ตามคำเตือนในเอกสาร แบงก์จะยังคงเป็น “ผู้รับผิดชอบโดยตรง” หากเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ เช่น การถูกโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งอาจส่งผลให้สินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้าหายไป

การเก็บรักษาคริปโตโดยสถาบันการเงิน” ที่มา :FDIC
อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกเน้นย้ำคือเรื่องระบบตรวจสอบ (audit) ซึ่งต้องครอบคลุมถึงกระบวนการเฉพาะของโลกคริปโต เช่น การสร้างกุญแจเข้ารหัส (key generation), การควบคุมการโอน-ชำระบัญชีสินทรัพย์ และระดับความเชี่ยวชาญของบุคลากร หากธนาคารไม่มีระบบภายในเพียงพอ แนะนำให้จ้างผู้เชี่ยวชาญภายนอกเข้ามาช่วยประเมินและควบคุมความเสี่ยง
น่าสังเกตว่าภายใต้ยุค “reset regulatory” ในปี 2025 หน่วยงานอย่าง FDIC เองกลับมีท่าทีผ่อนคลายกว่าที่เคย หลายข้อจำกัดเกี่ยวกับคริปโตถูกคลายลง โดยเฉพาะ “reputational risk” หรือความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ที่เคยถูกใช้เป็นข้ออ้างไม่ให้แบงก์เข้าไปยุ่งกับคริปโต ซึ่งตอนนี้ Fed ได้ถอดข้อกำหนดนั้นออกไปแล้วอย่างเป็นทางการ
ขณะที่แบงก์ดั้งเดิมบางรายเริ่มพิจารณาทำ stablecoin ร่วมกัน ฝั่งบริษัทคริปโตแท้ ๆ กลับเลือกเดินอีกเส้นทาง เช่น Ripple และ Circle ที่ได้ยื่นขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารโดยตรงกับ OCC เพื่อไม่ต้องพึ่งแบงก์อีกต่อไป
แม้โลกของคริปโตจะดูเร้าใจและน่าลงทุนเพียงใด แต่เอกสารจากหน่วยงานสหรัฐฯ ชี้ชัดว่า หากไม่มีความพร้อมในเชิงโครงสร้าง กฎหมาย และการจัดการความเสี่ยงอย่างจริงจัง ธนาคารที่โดดเข้ามาอาจต้องเจอกับความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้
ที่มา : cointelegraph

