นาย Paul Atkins ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ได้ประกาศเปิดตัวโครงการครั้งประวัติศาสตร์ในชื่อ “Project Crypto” ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่จะเข้ามา “ปรับปรุงกฎระเบียบหลักทรัพย์ให้ทันสมัยเพื่อเปิดทางให้ตลาดการเงินของอเมริกาสามารถเคลื่อนย้ายสู่ระบบ On-chain ได้” การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่นี้ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีของหน่วยงานกำกับดูแลที่มีอิทธิพลที่สุดในโลกไปสู่การสนับสนุนนวัตกรรมอย่างเต็มตัว
ในแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นาย Atkins ระบุว่า Project Crypto เป็นการตอบสนองโดยตรงต่อข้อเสนอแนะในรายงานล่าสุดของคณะทำงานด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของประธานาธิบดี “กฎและกฎระเบียบที่ตกทอดมาหลายฉบับของคณะกรรมการไม่ได้สมเหตุสมผลอีกต่อไปในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด นับประสาอะไรกับตลาดบนเชน” Atkins กล่าว “คณะกรรมการจะต้องปรับปรุงกฎเกณฑ์ของตนเองใหม่ เพื่อไม่ให้คูเมืองแห่งกฎระเบียบมาเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าและการแข่งขัน”
โครงการนี้มีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานหลายประการ โดย Atkins ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ของ SEC ดำเนินการในเรื่องต่างๆ ดังนี้
- สร้างความชัดเจนในการจำแนกสินทรัพย์ พัฒนาแนวทางที่ชัดเจนเพื่อช่วยให้ตลาดสามารถจำแนกได้ว่าคริปโตประเภทใดคือหลักทรัพย์หรือสินค้าโภคภัณฑ์
- ผ่อนปรนกฎเกณฑ์ใบอนุญาต พิจารณาแนวทางที่อนุญาตให้บริษัทนายหน้าสามารถให้บริการสินทรัพย์ได้หลายประเภทภายใต้ใบอนุญาตเพียงใบเดียว หรือที่เรียกว่า “Super-apps”
- สร้างข้อยกเว้นด้านนวัตกรรม พิจารณาให้มีข้อยกเว้นหรือช่วงเวลาผ่อนผันสำหรับโครงการคริปโตในระยะเริ่มต้น, การระดมทุนแบบ ICO และซอฟต์แวร์แบบกระจายอำนาจ เพื่อให้โครงการเหล่านี้มีพื้นที่สำหรับสร้างสรรค์นวัตกรรมโดยไม่ต้องหวาดกลัวต่อการถูกฟ้องร้อง
- ปกป้องสิทธิ์ในการดูแลสินทรัพย์ด้วยตนเอง (Self-custody) ยืนยันว่าสิทธิ์ในการดูแลรักษาทรัพย์สินส่วนตัวของตนเองคือค่านิยมหลักของอเมริกาและต้องได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย

การประกาศ “Project Crypto” เกิดขึ้นหลังจากที่ภูมิทัศน์ด้านกฎระเบียบในสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากภายใต้การนำของนาย Atkins โดย SEC ได้ยุติแนวทาง “การกำกับดูแลผ่านการบังคับใช้กฎหมาย” ที่เคยใช้ในยุคก่อนหน้า และได้อนุมัติกองทุน Crypto ETF หลายฉบับ รวมถึงการอนุญาตให้มีการไถ่ถอนในรูปแบบ “In-kind” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญสำหรับนักลงทุนสถาบัน การเปิดตัวโครงการครั้งประวัติศาสตร์นี้จึงเป็นเหมือนการตอกย้ำคำมั่นสัญญาของรัฐบาลทรัมป์ที่จะทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็น “เมืองหลวงคริปโตของโลก” อย่างแท้จริง
ที่มา: cointelegraph

