“หายนะทางการเงิน” คือคำที่อธิบายเหตุการณ์การล่มสลายของ Terra-LUNA ได้ดีที่สุด การพังทลายของระบบนิเวศที่มีมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในเวลาเพียงไม่กี่วันเมื่อเดือนพฤษภาคม 2022 ไม่เพียงแต่จะสร้างความเสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้ให้กับนักลงทุนทั่วโลก แต่ยังได้กลายเป็น “บทเรียนราคาแพง” ที่ตอกย้ำถึงความเปราะบางของนวัตกรรมที่ซับซ้อนและช่องโหว่ที่ถูกซ่อนไว้เบื้องหลังคำสัญญาผลตอบแทนที่สูงเกินจริง
เกิดอะไรขึ้น? วิกฤตศรัทธาที่จุดชนวนการล่มสลาย
หัวใจของหายนะครั้งนี้อยู่ที่ความล้มเหลวของ TerraUSD (UST) ซึ่งเป็น Algorithmic Stablecoin ที่ถูกออกแบบมาให้มีมูลค่าตรึงกับ 1 ดอลลาร์สหรัฐอยู่เสมอ กลไกการรักษาเสถียรภาพของ UST นั้นไม่ได้ใช้สินทรัพย์ในโลกแห่งความเป็นจริงค้ำประกัน แต่กลับผูกติดอยู่กับเหรียญพี่น้องอย่าง LUNA ผ่านอัลกอริทึม “พิมพ์และเผา” (Mint and Burn) ที่ซับซ้อน
กลไกนี้ทำงานบนสมมติฐานที่ว่า ตลาดจะช่วยรักษาสมดุลได้เอง แต่จุดเริ่มต้นของหายนะเกิดขึ้นเมื่อ UST ได้หลุดจากการตรึงมูลค่า (De-peg) ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2022 เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มีสัญญาณมาจากการถอนเงิน UST จำนวนมหาศาลออกจากแพลตฟอร์มการเงินอย่าง Anchor Protocol และ Curve Finance ซึ่งเป็นการกระทำที่เชื่อว่าเป็นการโจมตีโดยเจตนาเพื่อทำลายเสถียรภาพของระบบ การเทขายครั้งใหญ่นี้สร้างแรงกดดันมหาศาลจนกลไกป้องกันปกติไม่สามารถรับมือได้ และได้จุดชนวนให้เกิด “วิกฤตศรัทธา” ครั้งใหญ่ นักลงทุนที่ตื่นตระหนกได้แห่กันเทขาย UST อย่างมหาศาล ทำให้ระบบต้อง “พิมพ์” เหรียญ LUNA ออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อพยายามพยุงราคา UST กลับคืนมา
แต่การกระทำดังกล่าวกลับยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก มันได้ทำให้เกิดภาวะอุปทานล้นตลาดอย่างรุนแรง (Hyperinflation) และกดดันให้ราคาของ LUNA ดิ่งลงเหวจากที่เคยมีราคาสูงสุดเกือบ 120 ดอลลาร์ มาสู่ระดับที่แทบจะไร้มูลค่าในเวลาเพียงไม่กี่วัน กลไกที่เคยถูกยกย่องว่าเป็นนวัตกรรมได้กลายมาเป็น “วงจรแห่งความตาย” (Death Spiral) ที่ทำลายล้างทุกอย่างลงอย่างสิ้นเชิง
ความพยายาม ‘กู้ชีพ’ ที่ล้มเหลว เดิมพันครั้งสุดท้ายที่พังทลาย
ท่ามกลางความโกลาหลและความสิ้นหวัง นายโด ควอน และทีมงาน Terraform Labs ได้พยายามอย่างหนักที่จะกอบกู้สถานการณ์ผ่านหลายมาตรการ แต่ทุกอย่างกลับเป็นเพียงการดิ้นรนที่ไร้ผลและสายเกินไป
การใช้ทุนสำรองเข้าพยุง สงครามที่ไม่มีวันชนะ
ก่อนที่หายนะจะเกิดขึ้น โด ควอน ได้จัดตั้งกองทุน Luna Foundation Guard (LFG) ขึ้นมาโดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องการตรึงมูลค่าของ UST โดยเฉพาะ LFG ได้ระดมทุนและเข้าซื้อ Bitcoin จำนวนมหาศาล (กว่า 80,000 BTC หรือคิดเป็นมูลค่าราว 3.5 พันล้านดอลลาร์ในขณะนั้น) เพื่อใช้เป็น “ทุนสำรองด่านสุดท้าย” เมื่อวิกฤตมาถึง LFG ได้ทำตามแผนที่วางไว้ คือการเทขาย Bitcoin และสินทรัพย์สำรองอื่นๆ เพื่อนำเงินสดมาไล่ซื้อ UST คืนจากตลาด แต่ปฏิบัติการครั้งนี้กลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงด้วยเหตุผลหลายประการ
- แรงเทขายที่เหนือการควบคุม ความตื่นตระหนกของตลาดนั้นรุนแรงและรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ แรงเทขาย UST นั้นมีปริมาณมหาศาลจนทุนสำรองที่มีอยู่ไม่ต่างอะไรกับการตักน้ำในมหาสมุทร
- ซ้ำเติมวิกฤตตลาด การเทขาย Bitcoin จำนวนมหาศาลของ LFG ได้สร้างแรงกดดันอย่างหนักให้กับราคา Bitcoin เอง ทำให้ตลาดคริปโตโดยรวมทรุดตัวลงไปอีก วงการคริปโตจึงไม่ได้เผชิญแค่การล่มสลายของ LUNA แต่ยังต้องรับมือกับแรงกระแทกจากการเทขายของ LFG ด้วย
- ความโปร่งใสที่น่ากังขา หลังเหตุการณ์สงบลง มีคำถามมากมายเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินทุนสำรองของ LFG ซึ่งขาดความโปร่งใสและไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจนว่าเงินทุนทั้งหมดถูกนำไปใช้อย่างไร
การคืนชีพในชื่อ Terra 2.0 การเริ่มต้นใหม่ที่ไร้ซึ่งความไว้วางใจ
หลังจากที่ระบบนิเวศเดิมได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์ และเหรียญ LUNA เดิม (ซึ่งต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Luna Classic – LUNC) มีจำนวนหมุนเวียนในระบบมากกว่า 6.5 ล้านล้านเหรียญจนแทบไร้มูลค่า โด ควอน ได้เสนอแผน “ฟื้นฟู” ครั้งใหญ่ นั่นคือการ “Fork” หรือการสร้างบล็อกเชนใหม่ขึ้นมาทั้งหมดในชื่อ Terra 2.0 โดยจะไม่มีเหรียญ Stablecoin อย่าง UST อีกต่อไป และจะมีการออกเหรียญ LUNA ใหม่ (LUNA2) เพื่อแจกจ่าย (Airdrop) ให้กับผู้ที่ถือเหรียญ LUNC และ UST เดิมก่อนการล่มสลาย เพื่อเป็นการชดเชยความเสียหาย อย่างไรก็ตาม แผนการนี้เผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
- เสียงแตกในชุมชน นักลงทุนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้ พวกเขามองว่าควรจะมุ่งเน้นไปที่การ “เผา” เหรียญ LUNC ที่มีอยู่ล้นตลาดเพื่อฟื้นฟูมูลค่าของเชนเดิมมากกว่าการสร้างเชนใหม่
- การสูญเสียความเชื่อมั่นโดยสมบูรณ์ การสร้างเชนใหม่ไม่สามารถลบล้างความผิดพลาดและความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ นักลงทุนและนักพัฒนาส่วนใหญ่ได้สูญเสียความเชื่อมั่นในตัวโด ควอนและทีมงานไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
- ผลลัพธ์ที่ล้มเหลว แม้จะมีการเปิดตัว Terra 2.0 และแจกจ่ายเหรียญ LUNA2 ตามแผน แต่ราคาของเหรียญใหม่ก็ดิ่งลงอย่างหนักแทบทันทีที่เปิดให้มีการซื้อขาย มันได้พิสูจน์ให้เห็นว่า “บ้าน” หลังใหม่ที่สร้างขึ้นบนซากปรักหักพังของความไว้วางใจนั้น ไม่สามารถดึงดูดให้ใครอยากกลับเข้าไปอยู่ได้อีก
แล้วปัจจุบันเกิดอะไรขึ้นกับโปรเจกต์นี้?
แม้จะล่มสลายไปแล้ว แต่เรื่องราวของ Terra ยังไม่จบสิ้น ปัจจุบันโปรเจกต์ได้แตกออกเป็นสองส่วนที่ดำเนินไปในเส้นทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
- Terra Classic (LUNC & USTC) เชนที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน บล็อกเชนดั้งเดิมยังคงทำงานต่อไป แต่ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นโปรเจกต์ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนอย่างสมบูรณ์ หัวใจสำคัญของเชนนี้คือความพยายามของกลุ่มนักลงทุนที่ยังคงเชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพ โดยมีความหวังหลักอยู่ที่กลไก “การเผาภาษี” (Tax Burn) ซึ่งจะมีการหักค่าธรรมเนียมส่วนหนึ่งจากการทำธุรกรรมทุกครั้งไปเผาทิ้ง เพื่อลดอุปทานเหรียญ LUNC ที่มีอยู่มหาศาล อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความพยายามอย่างต่อเนื่อง แต่เส้นทางการฟื้นตัวยังคงอีกยาวไกลและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน LUNC และ USTC ในปัจจุบันจึงมีสถานะเป็นสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไรความเสี่ยงสูงมากเป็นหลัก
- Terra 2.0 (LUNA) การดิ้นรนเพื่อสร้างตัวตนใหม่ เชนใหม่ที่สร้างขึ้นโดย Terraform Labs ยังคงดำเนินต่อไปในฐานะเชน “อย่างเป็นทางการ” โดยพยายามดึงดูดนักพัฒนาและโปรเจกต์ใหม่ๆ ให้เข้ามาสร้างระบบนิเวศอีกครั้ง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักในการสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมา ปัจจุบัน Terra 2.0 ยังคงมีโปรเจกต์ DeFi และ NFT อยู่บ้าง แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับความยิ่งใหญ่ในอดีต และยังคงเป็นเพียงเงาของตัวเอง
จุดจบของ โด ควอน การรับสารภาพและการต่อสู้ทางกฎหมาย
หลังการล่มสลาย โด ควอน อดีตผู้บริหารของ Terraform Labs ได้กลายเป็นบุคคลที่ทางการทั่วโลกต้องการตัว เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จุดชนวนวิกฤตคริปโตที่สร้างความเสียหายให้นักลงทุนกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ และถูกทางการสหรัฐฯ กล่าวหาว่า “บงการการฉ้อโกงหลักทรัพย์สินทรัพย์คริปโตมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์”
หลังจากการหลบหนีออกจากเกาหลีใต้ในปี 2023 และการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนาน เขาถูกจับกุมที่มอนเตเนโกรและถูกส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนมายังสหรัฐอเมริกา ล่าสุด โด ควอน ได้ยอมรับสารภาพผิดในข้อหาฉ้อโกง 2 กระทงที่ศาลนิวยอร์ก
อัยการสหรัฐฯ กล่าวหาว่า ในปี 2021 ควอนได้บิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับกลไกที่ควรจะทำให้ TerraUSD (UST) มีมูลค่าคงที่ โดยเขาได้จัดฉากให้บริษัทซื้อขายแห่งหนึ่งแอบเข้าซื้อโทเคนมูลค่าหลายล้านดอลลาร์เพื่อฟื้นฟูมูลค่าของ UST แต่กลับบอกนักลงทุนว่าการฟื้นตัวนั้นเกิดขึ้นจากอัลกอริทึมของระบบเอง การบิดเบือนนี้ได้ชักจูงให้นักลงทุนจำนวนมากเข้าซื้อผลิตภัณฑ์ของ Terraform ซึ่งช่วยพยุงมูลค่าของเหรียญ LUNA ไว้ ก่อนที่ทั้งหมดจะพังทลายลงในปีต่อมา
“ในปี 2021 ผมได้ให้ข้อมูลที่เป็นเท็จและทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับสาเหตุที่ [TerraUSD] กลับมาตรึงมูลค่าได้” ควอนกล่าวในศาล “สิ่งที่ผมทำนั้นผิด และผมต้องการขอโทษสำหรับการกระทำของผม”
ภายใต้ข้อตกลงยอมความ อัยการได้ตกลงที่จะไม่ยื่นขอให้ศาลตัดสินลงโทษจำคุกเกิน 12 ปี อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษายังคงมีสิทธิ์ที่จะกำหนดโทษที่ยาวนานกว่านั้นได้ ซึ่งอาจสูงถึง 25 ปี นอกจากนี้ เขายังต้องสละทรัพย์สินมูลค่าสูงถึง 19.3 ล้านดอลลาร์พร้อมดอกเบี้ย อสังหาริมทรัพย์อีกหลายแห่ง และต้องชดใช้ค่าเสียหายอีกด้วย โดยเขามีกำหนดรับฟังคำตัดสินในวันที่ 11 ธันวาคม และยังคงต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาในเกาหลีใต้อีกด้วย
บทวิเคราะห์ความล้มเหลว ทำไมถึงกอบกู้ไม่ได้?
ความล้มเหลวในการกอบกู้ Terra-LUNA มีรากมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่แก้ไขไม่ได้ และได้มอบบทเรียนสำคัญให้กับโลกการเงินดิจิทัล
- ความเปราะบางของความเชื่อมั่น กลไกของ Algorithmic Stablecoin นั้นเปราะบางและต้องพึ่งพา “ความเชื่อมั่น” ของตลาดอย่างยิ่งยวด เมื่อความเชื่อมั่นนั้นพังทลายลง ก็ไม่มีทุนสำรองใดๆ ในโลกที่จะสามารถเข้ามาพยุงระบบที่ต้องพิมพ์เหรียญออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดได้
- ความไว้วางใจที่สร้างใหม่ไม่ได้ การสร้างเชนใหม่ก็ไม่สามารถเรียกคืนความไว้วางใจที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมาได้ นักลงทุนจดจำความเจ็บปวดจากการล่มสลายครั้งแรก และไม่พร้อมที่จะเสี่ยงอีกครั้งกับโครงการที่เคยล้มเหลวมาแล้ว
- ผลตอบแทนที่สูงเกินจริงคือสัญญาณอันตราย Anchor Protocol ที่ให้ผลตอบแทนเกือบ 20% คือแม่เหล็กที่ดึงดูดนักลงทุน แต่ในขณะเดียวกันมันก็คือระเบิดเวลาที่รอวันทำงาน เพราะผลตอบแทนระดับนั้นไม่สามารถยั่งยืนได้จริงในระยะยาว
บทเรียนล้ำค่าที่นักลงทุนต้องจดจำ
หายนะครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้ทิ้งบทเรียนราคาแพงไว้ให้กับนักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์
- “ถ้ามันดูดีเกินจริง มันก็มักจะไม่จริง” ผลตอบแทนเกือบ 20% ต่อปีจาก Anchor Protocol คือสัญญาณเตือนภัยที่ดังที่สุด มันถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดเม็ดเงินอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่รูปแบบผลตอบแทนที่ยั่งยืนได้จริง นักลงทุนต้องตั้งคำถามและสงสัยในผลตอบแทนที่สูงผิดปกติเสมอ
- ศึกษาให้ลึกซึ้ง (Do Your Own Research – DYOR) อย่าเชื่อมั่นในตัวบุคคลที่มีเสน่ห์ หรือเชื่อตามกระแสในโซเชียลมีเดีย การทำความเข้าใจกลไกพื้นฐานของสินทรัพย์ที่เราจะลงทุนและความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ คือสิ่งสำคัญที่สุดที่นักลงทุนจำนวนมากในกรณีนี้ได้มองข้ามไป
- การกระจายความเสี่ยงคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด นักลงทุนจำนวนมากทุ่มเงินเกือบทั้งหมดของพวกเขาไปในระบบนิเวศของ Terra เพียงเพราะเชื่อมั่นในอนาคตของมัน เมื่อมันล่มสลาย พวกเขาก็ไม่เหลืออะไรเลย นี่คือบทเรียนสุดคลาสสิกที่ว่า “อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียว” ไม่ว่าคุณจะมั่นใจในตะกร้าใบนั้นแค่ไหนก็ตาม
- เข้าใจว่าอะไรคือ “สินทรัพย์ค้ำประกัน” ที่แท้จริง ในโลกของ Algorithmic Stablecoin สินทรัพย์ค้ำประกันที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ Bitcoin หรือเงินดอลลาร์ แต่คือ “ความเชื่อมั่น” ของผู้คนในระบบ เมื่อความเชื่อมั่นนั้นหายไป ทุกอย่างก็สามารถพังทลายลงได้ในทันทีโดยไม่มีอะไรมาค้ำยัน
ท้ายที่สุดแล้ว หายนะของ Terra-LUNA จึงไม่ได้เป็นเพียงความล้มเหลวทางเทคนิค แต่คือบทพิสูจน์ที่เจ็บปวดว่าในโลกการเงินนั้น “ความไว้วางใจ” คือสินทรัพย์ที่มีค่าและเปราะบางที่สุด และการล่มสลายของมันก็สามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน

