Mike Mcglone นักวิเคราะห์ฝ่ายสินค้าโภคภัณฑ์ระดับอาวุโสของ Bloomberg Intelligence เมื่อไม่นานมานี้ได้ร่วมพูดคุยในรายการของ David Lin ยูทูปเบอร์สายการเงิน โดยเขาได้เตือนถึงวิกฤตฟองสบู่ของ Bitcoin ในรอบนี้ที่น่าสะพรึงกลัว ทั้งที่ความเห็นส่วนใหญ่มองว่าขาขึ้นจะยังคงไปได้ต่อ และขาลงจะไม่กลับมาแล้ว
Mcglone เตือนว่า ราคาของ Bitcoin อาจร่วงได้มากถึง -90% ในวัฏจักรนี้ หรือก็คือจะกลับไป $10,000 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าจุดต่ำสุดของวัฏจักรที่แล้ว สำหรับสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น Mcglone อธิบายว่าระดับราคา “หลักแสน” ของบิตคอยน์ไม่ใช่หมุดหมายใหม่ หรือจุดเริ่มต้น แต่เป็นสัญญาณของตลาดที่ร้อนแรงเกินไปต่างหาก
เขายังยกตัวอย่างบทเรียนในตลาดสุดคลาสสิกว่า นักลงทุนควรที่จะขายสินทรัพย์ตอนที่ตลาดกำลังมีการพูดถึง เพราะส่วนใหญ่มักจะติดดอยกันที่ยอด
หากเทียบกันแล้วนับตั้งแต่ Bitcoin ขึ้นมา $100,000 ในวันที่ 6 ธันวามคม ถึงปัจจุบัน บิตคอยน์ทำราคาขึ้นมาเพียง 8% เท่านั้น ในขณะที่ทองคำพุ่งขึ้นมากว่า 30% ส่วนหุ้นดัชนี S&P 500 ก็ให้ผลตอบแทนในระดับใกล้เคียงกัน ทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้น่าสนใจอย่างที่คิด
McGlone ยังชี้อีกว่าปัจจุบัน Bitcoin มีความเคลื่อนไหวไปตามตลาดหุ้น เป็นสินทรัพย์เสี่ยง มากกว่าช่องทางในการเก็บรักษามูลค่าที่มีความเป็นอิสระไม่พึ่งพิงกับอะไร
ขณะเดียวกัน เพื่อตอกย้ำมุมมองขาลง McGlone ได้ชี้ให้เห็นว่าสัญญาณความผันผวนกำลังเปลี่ยนแปลง โดยในเดือนสิงหาคม ดัชนีความผันผวน (VIX) ทำระดับต่ำสุดของปีที่ประมาณ 14.2 ในขณะที่ Bitcoin ก็ทำราคาสูงสุดใหม่พร้อมกัน แต่เมื่อถึงสิ้นเดือนความผันผวนกลับเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ซึ่งบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นของตลาดอาจกำลังเปลี่ยนไป สำหรับ McGlone สัญญาณเหล่านี้บ่งชี้ว่านักลงทุนควรเตรียมพร้อมสำหรับ ช่วงการปรับฐานที่อาจเกิดขึ้น โดยที่ทองคำมีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ดีกว่า Bitcoin และสินทรัพย์เก็งกำไรอื่นๆ
หมดสิทธิไป $1,000,000
อย่างไรก็ตาม McGlone ยังไม่เชื่ออีกว่าในอนาคตบิตคอยน์จะสามารถไต่ขึ้นไปที่ราคา $1,000,000 ได้ โดยเขาระบุว่า สถานการณ์ของตลาดในปัจจุบันนั้นไม่เหมือนเมื่อก่อนทำให้ไม่สามารถสนับสนุนไปหมายนั้นได้
เขากล่าวต่อว่า ตอนที่ Bitcoin ซื้อขายกันในราคา $10,000 ภาพรวมของตลาดยังมองในแง่ลบ ทำให้เป็นเรื่องที่ง่ายที่บิตคอยน์จะค่อย ๆ ไต่ขึ้นมาที่ $100,000 กลับกันด้วยระดับราคาปัจจุบันเราเห็นผู้คนต่างเปิด long position กันเต็มไปหมด ทำให้ขาขึ้นของบิตคอยน์ไม่สามารถรักษาโมเมนตัมให้ยั่งยืนได้ เนื่องจากต้องแบกรับภาระและความคาดหวังของนักลงทุนไว้เป็นจำนวนมาก ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดขาลงมีมากกว่าขาขึ้น
ที่มา : newsbtc