ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร้อนแรงต่อเนื่อง พากันปิดที่ระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดี โดยมี “หุ้นขนาดเล็ก” เป็นพระเอกนำทัพในรอบนี้ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นการปลุกความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสร้างความหวังว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง
ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 0.48%, Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.94% ขณะที่ Dow Jones Industrial Average เพิ่มขึ้น 124 จุด หรือ 0.27% โดยดัชนีหลักทั้งหมดได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ระหว่างวัน
‘หุ้นเล็ก’ พระเอกรอบนี้-รับอานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง
แต่ดาวเด่นที่แท้จริงในวันนี้คือดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นขนาดเล็ก ที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงถึง 2.4% และทำสถิติปิดสูงสุดใหม่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า โดยปกติแล้ว “หุ้นเล็ก” มักจะมีความอ่อนไหวต่อทิศทางดอกเบี้ยมากกว่า “หุ้นยักษ์ใหญ่” เนื่องจากต้องพึ่งพาการกู้ยืมเพื่อขยายธุรกิจมากกว่าบริษัทใหญ่ๆ ที่มีเงินสดในมือจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่บางตัวก็ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันนี้เช่นกัน โดยหุ้น Intel พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงถึง 22.8% หลังจากที่ Nvidia ประกาศว่าจะเข้าลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อร่วมกันพัฒนาชิปสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์และพีซี ซึ่งถือเป็นวันที่ดีที่สุดของ Intel ในรอบเกือบ 38 ปี
David Tepper ‘ไม่ชอบที่มันแพง แต่ก็ต้องซื้อ-ผมไม่สู้ Fed’
การปรับตัวขึ้นของตลาดเกิดขึ้นหลังจากที่ Fed ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ตามคาดในวันพุธ และที่สำคัญคือได้ส่งสัญญาณว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอย่างเต็มเปี่ยม
เดวิด เทปเปอร์ (David Tepper) ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับตำนานจาก Appaloosa Management ได้กล่าวกับ CNBC ว่า “แม้ผมจะไม่ชอบที่ราคาหุ้นมันแพงขนาดนี้ แต่จะให้ผมไม่ลงทุนได้อย่างไร?” “ผมไม่มีทางคิดที่จะสู้กับ Fed แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตลาดกำลังบอกผมว่า… จะมีการลดดอกเบี้ยอีกหลายครั้งก่อนสิ้นปีนี้”
อย่างไรก็ตาม เทปเปอร์ก็ได้เตือนว่า Fed ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้ตลาดและเศรษฐกิจ “ร้อนแรงเกินไป” หากลดอัตราดอกเบี้ยลงมากเกินไปในปีหน้า
ที่มา: cnbc

