Binance Futures คืออะไร ? สำหรับใครที่ยังไม่รู้ Binance Futures คือแพลตฟอร์มสำหรับเทรดสัญญาคริปโตล่วงหน้า ซึ่งแตกต่างจากการซื้อขายแบบทั่วไป (Spot Trading) ที่คุณต้องมีเงินเต็มจำนวนเพื่อซื้อเหรียญ ใน Futures คุณสามารถใช้เลเวอเรจ (Leverage) เพื่อเทรดด้วยเงินที่มีอยู่น้อยกว่า แต่ได้ผลกำไรหรือขาดทุนเท่ากับการลงทุนจำนวนมาก นอกจากนี้ยังสามารถเทรดทำกำไรได้จากทั้งขาขึ้น (Long) และขาลง (Short)
ยกตัวอย่าง หากคุณมีเงิน 100 USDT และใช้เลเวอเรจ 10x คุณจะสามารถเปิด Position การลงทุนสินทรัพย์มูลค่า 1,000 USDT ได้ หาก Bitcoin เพิ่มขึ้น 1% กำไรของคุณจะเป็น 10 USDT แต่หากลดลง 1% คุณจะขาดทุน 10 USDT เช่นกัน
ประเภทสัญญาใน Binance Futures

Binance Futures นำเสนอสัญญาหลากหลายประเภทที่แตกต่างกันในด้านสกุลเงินที่ใช้เป็นหลักประกัน (Margin) และสกุลเงินที่ใช้ในการชำระกำไรขาดทุน (PnL) การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดของตนเอง
สัญญาหลักๆ บน Binance Futures สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ USD-M และ COIN-M
1. USDT Perpetual Futures

สัญญา USDT Perpetual Futures คือ ประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากไม่มีวันหมดอายุ นักลงทุนสามารถเปิด Position ได้อย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่ยังไม่ถูก Liquidation หรือถูกล้างพอร์ต
จุดสำคัญของสัญญานี้คือ การมี Funding Rate ทุก 8 ชั่วโมง ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ราคาของสัญญาเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับราคาตลาด Spot
หาก Funding Rate เป็นบวก (+) ผู้ที่เปิด Long จะต้องจ่ายให้กับผู้ที่เปิด Short
ในทางกลับกันหาก Funding Rate เป็นลบ (-) ผู้ที่เปิด Short จะต้องจ่ายให้กับผู้ที่เปิด Long
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเปิด Long 1,000 USDT ใน BTCUSDT Perpetual และ Funding Rate เท่ากับ +0.01% คุณจะต้องจ่าย Funding Fee 0.1 USDT ทุก 8 ชั่วโมง ในทางกลับกัน หาก Funding Rate เป็น -0.01% คุณจะได้รับเงิน 0.1 USDT
2. USDC Perpetual Futures

สัญญาประเภทนี้ จะทำงานคล้ายกับ USDT Perpetual Futures โดยใช้ USDC เป็นหลักประกันและชำระกำไรขาดทุนด้วย USDC การที่ Binance เพิ่มคู่เทรด USDC Perpetual Futures สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของตลาดที่กำลังมองหา Stablecoin ที่มีความน่าเชื่อถือและโปร่งใสในการสำรองเงินทุนมากขึ้น
การเลือกใช้ USDC Perpetual Futures จึงอาจเป็นทางเลือกสำหรับนักเทรดที่ต้องการความมั่นคงของหลักประกันในระดับที่สูงกว่า แต่ก็ต้องแลกมากับความหลากหลายของเหรียญที่ลงทุนได้
ทั้งนี้ ทาง Binance Futures จะมีส่วนลดค่าธรรมเนียมให้ สำหรับผู้ที่เทรดสัญญานี้ โดยผู้ที่เปิดออร์เดอร์แบบ Limit หรือ (Maker) จะจ่ายค่าธรรมเนียม 0% ทั้งนี้ ยังไม่แน่ชัดว่าโปรโมชั่นดีๆ แบบนี้จะอยู่ตลอดไปหรือไม่
3. Coin-M Perpetual Futures

สัญญาประเภทนี้ จะใช้เหรียญคริปโต (เช่น BTC หรือ ETH) เป็นหลักประกันและกำไรขาดทุนจะถูกคำนวณและชำระเป็นเหรียญคริปโตนั้นๆ แม้การคำนวณจะมีความซับซ้อนกว่า เนื่องจากมูลค่าของหลักประกันเองก็มีความผันผวน แต่สัญญานี้มีประโยชน์อย่างมากสำหรับนักลงทุนที่ต้องการให้เงินทุนทั้งหมด 100% ถูกเก็บอยู่ในรูปของเหรียญคริปโต
*หมายเหตุ ทั้ง 3 ประเภทสัญญา Futures ข้างต้นนี้ จะมีค่า Funding Fee ทุก 8 ชั่วโมง ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบได้ก่อนทำการซื้อขาย
4.USDT Delivery และ Coin-M Delivery : สัญญาที่มีวันหมดอายุ แต่ไม่มี Funding Rate

สัญญาสองประเภทนี้ จะมีวันหมดอายุกำหนดไว้ 2 แบบ สัญญา Delivery ที่ลงท้ายด้วย “250926” หมดอายุทุก 8 วัน กับสัญญาที่ลงท้ายด้วย “251226” หมดอายุทุก 99 วัน และถูกชำระราคาในวันที่กำหนด
ข้อควรทราบอย่างยิ่งคือ สัญญา Futures รูปแบบนี้ของ Binance มีทั้งประเภท USDT Delivery และ COIN-M Delivery ซึ่งจะแตกต่างกันแค่การเลือกใช้สินทรัพย์ใดเป็นหลักประกัน
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดของสัญญานี้คือ ไม่มีค่าธรรมเนียม Funding Fee ในขณะที่สัญญา Perpetual จะมีค่าธรรมเนียม Funding Fee ที่ต้องจ่ายหรือได้รับทุก 8 ชั่วโมงเพื่อรักษาราคาให้อยู่ใกล้เคียงกับราคา Spot การไม่มีค่าธรรมเนียม Funding Fee ทำให้สัญญา Futures เหมาะอย่างยิ่งสำหรับกลยุทธ์การเทรดระยะยาวหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องต้นทุนแฝงนี้
วิธีคำนวณ Position ก่อนเปิดสัญญา
การคำนวณ Position ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมากในการควบคุมความเสี่ยง คุณต้องคำนวณให้แน่ใจว่า หากขาดทุนถึงจุด Stop Loss จะไม่เกิน 1-5% ของเงินทุนทั้งหมด ซึ่งเรื่องนี้จะสัมพันธ์กับการเลือกใช้เลเวอเรจ
ยกตัวอย่างเช่น คุณมีทุนทั้งหมด 10,000 USDT ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ 1% = 100 USDT สมมุติราคา Bitcoin ปัจจุบันอยู่ที่ $100,000 จุด SL คุณอยู่ที่ $90,000
คุณควรใช้เลเวอเรจ 10x โดยนำเงินทุนที่คำนวณไว้ 100 USDT * 10 จะได้ Position ในการเทรดครั้งนี้อยู่ที่ 1,000 USDT
กลยุทธ์การเทรดเบื้องต้น
สำหรับ Perpetual Futures เหมาะสำหรับสาย Day trade (จบไม้ภายใน 1 วัน) หรือ Scalping (จบไม้ที่ค่อนข้างสั้น ภายใน 1-3 ชม.): เหมาะกับ Perpetual ราคาใกล้เคียงตลาด Spot ในปัจจุบันมากที่สุด สามารถเข้าออกได้บ่อย แต่ต้องระวังเรื่อง Funding Fee ทุก 8 ชั่วโมง
ส่วน Delivery Futures เหมาะกับสาย Run-Trend หรือสาย Momentum Trading ที่ไม่จำเป็นต้องจบไม้ภายในวัน ใช้ประโยชน์จากแนวโน้มตามช่วงเวลา และหันมาเล่นไทม์เฟรมที่ใหญ่ขึ้น 4 ชั่วโมง (4H) ,1 วัน (Day) หรือใหญ่กว่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น เดือนตุลาคม เปิด Long Position ในสัญญา BTCUSDT 251226 หรือสัญญาอายุ 3 เดือน เพื่อรอตลาดพุ่งขึ้นตามเทรนด์ ซึ่งผู้ลงทุนจะสามารถถือ Position ได้ไปจนถึงสิ้นปี โดยไม่ต้องกังวลเรื่อง Funding Fee แต่ต้องระวังว่า หากราคาไปไม่ถึงเป้าหมายก่อนวันหมดอายุ Position จะถูกปิดอัตโนมัติ
การใช้เลเวอเรจอย่างชาญฉลาด
ผู้เริ่มต้นควรใช้เลเวอเรจต่ำ เช่น 2-5x เพื่อเรียนรู้ก่อน เลเวอเรจสูงจะให้กำไรมากขึ้น แต่ความเสี่ยงขาดทุนก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ตัวอย่าง: หากคุณใช้เลเวอเรจ 10x และราคาเคลื่อนไหวผิดทางเพียง 10% คุณจะสูญเสียเงินหลักประกันทั้งหมด แต่หากใช้เลเวอเรจ 2x ราคาต้องเคลื่อนไหวผิดทาง 50% คุณถึงจะสูญเสียเงินหลักประกันทั้งหมด
ข้อควรระวัง

1.Liquidation (การถูกล้างพอร์ต)
เมื่อขาดทุนถึงระดับหนึ่ง ระบบจะปิด Position อัตโนมัติเพื่อป้องกันการขาดทุนเกินเงินหลักประกัน คุณจะสูญเสียเงินหลักประกันทั้งหมดในกรณีนี้
2.Funding Fee
ใน Perpetual Contracts คุณอาจต้องจ่ายหรือได้รับ Funding Fee ทุก 8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับ Position และอัตรา Funding Rate ณ ขณะนั้น
3.ความผันผวนสูง
ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูงมาก ราคาอาจเปลี่ยนแปลง 10-20% ในวันเดียว การใช้เลเวอเรจจะขยายความเสี่ยงนี้เป็นหลายเท่า
ขั้นตอนการเริ่มต้น
ศึกษาและฝึกฝน: เริ่มด้วยการอ่านและศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ทดลองใช้ Testnet หรือ Demo Account ก่อนเทรดจริง
เริ่มต้นด้วยเงินน้อย: ใช้เงินที่สูญเสียแล้วไม่กระทบต่อการดำรงชีวิต เริ่มด้วยจำนวนเล็ก ๆ เช่น 100-500 USDT
เลือกคู่เทรดที่คุ้นเคย: เริ่มด้วย Bitcoin หรือ Ethereum ที่มีสภาพคล่องสูงและข้อมูลข่าวสารเยอะ
จดบันทึกการเทรด: บันทึกเหตุผลในการเปิด Position, ผลลัพธ์, และบทเรียนที่ได้ เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์
ควบคุมอารมณ์: อย่าให้ความโลภหรือความกลัวมาครอบงำการตัดสินใจ ยึดติดกับแผนที่วางไว้
การเทรด Futures เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและความรู้ที่ถูกต้อง การเริ่มต้นด้วยการศึกษาอย่างจริงจัง การฝึกฝน และการจัดการความเสี่ยงที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว

