ถ้าใครบอกว่าบริษัทสายสุขภาพและเภสัชกรรมคือ ธุรกิจที่มั่นคงสุด ๆ อาจคงต้องคิดใหม่ เพราะตอนนี้กำลังเกิดปรากฏการณ์ “ทิ้งยาไปซื้อคริปโต” ขึ้นจริง ๆ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีถึง 4 บริษัทด้านการแพทย์และเภสัชกรรม ที่หันหลังให้การพัฒนายา แล้วกระโดดเข้าสู่โลกคริปโตเต็มตัว โดยเชื่อว่า การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจะสามารถสร้างการเติบโตได้มากกว่าธุรกิจเดิม ที่ทำรายได้ไม่ปังอย่างที่คาด
โดยรายล่าสุดคือ Helius Medical Technologies ที่ประกาศรีแบรนด์ตัวเองเป็น Solana Company และชัดเจนมากว่าจะไม่มุ่งเน้นการพัฒนาอุปกรณ์การแพทย์ด้านประสาทอีกต่อไป แต่หันไปโฟกัสกับการลงทุนบนบล็อกเชน Solana แบบเต็มรูปแบบ
แถมยังตั้งกองทุน Digital Asset Treasury (DAT) ที่เน้นซื้อเหรียญ SOL เป็นหลัก โดยระดมทุนไปแล้วถึง 500 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งทำข้อตกลงกับ Solana Foundation ว่าจะดำเนินกิจกรรมบนบล็อกเชน Solana แบบ 100% ทำให้บริษัทได้รับสิทธิซื้อเหรียญ SOL จาก Solana Foundation ในราคาส่วนลดอีกด้วย ถือเป็นกลยุทธ์ที่ตั้งใจใช้ประโยชน์จากกลไกการสร้างผลตอบแทนของ SOL เพื่อเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินที่ถือครอง
แต่บริษัท Helius Medical Technologies ไม่ใช่รายเดียวที่เลือกเส้นทางนี้ เพราะในปี 2025 ยังมีอีก 3 บริษัทด้านการแพทย์และเภสัชกรรมที่หันมารีแบรนด์ตัวเอง เพื่อเจาะตลาดคริปโตเช่นกัน ได้แก่
บริษัท TNF Pharmaceuticals เป็นบริษัทวิจัยยาระยะทดลองทางคลินิก ที่รีแบรนด์เป็น Q/C Technologies โดยหันไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคริปโตด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมแทน
บริษัท MEI Pharma บริษัทด้านมะเร็งวิทยา ที่เปลี่ยนชื่อไปเป็น Lite Strategy พร้อมถือครอง Litecoin มูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ โดยใช้ LTC เป็นสินทรัพย์สำรองหลักของบริษัท และดึง Charlie Lee ผู้สร้าง Litecoin มานั่งบอร์ดบริหาร
บริษัท Kindly MD ผู้ให้บริการด้านสุขภาพในระดับภูมิภาค ที่ได้ควบรวมกับบริษัท Nakamoto Holdings และตั้งเป้าหมายใหญ่ในการสะสม Bitcoin ให้ได้ถึง 1 ล้าน BTC
ในมุมมองของบริษัทเหล่านี้ คริปโตอาจเป็นทางเลือกที่สามารถ สร้างการเติบโตได้เร็วกว่าและมากกว่า ในขณะที่การวิจัยและพัฒนายา เป็นกระบวนการที่ทั้ง ใช้เวลานาน และมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวสูง
ที่มา : beincrypto

