ย้อนกลับไปในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้มีการผ่านร่างกฎหมาย GENIUS Act ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีความเกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลประเภท Stablecoin โดยถึงแม้กฎหมายนี้จะส่งผลดีต่อภาพรวมของตลาดคริปโต แต่หนึ่งในกฎเกณฑ์ข้อบังคับกำลังสร้างปัญหาใหญ่ให้กับวงการ
หนึ่งในกฎที่ถูกวิจารณ์มากที่สุด คือ การระงับไม่ให้ผู้ออกเหรียญ Stablecoin สามารถจ่ายดอกเบี้ยปันผลให้กับผู้ถือได้โดยตรง ซึ่งกฎระเบียบดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องไม่ให้ธนาคารสูญเสียเงินฝาก แต่ชาวคริปโตก็ยังคงหาช่องโหว่ทางกฎหมายจนเจอ เพราะผู้ให้บริการบุคคลที่สาม ยังคงสามารถจ่ายปันผลดอกเบี้ยจาก Stablecoin ได้ตามปกติ
สิ่งนี้หมายความว่า ความพยายามที่จะลดบทบาทของ Stablecoin จากการเป็นเครื่องมือในการลงทุน และสินทรัพย์กักเก็บมูลค่าให้กลายเป็นวิธีการในการใช้จ่าย ต้องประสบกับความล้มเหลว เพราะสุดท้ายแล้วนักลงทุนก็ยังคงหาวิธีสร้างกำไรจากมันได้ และนั่นทำให้ “ธนาคารถูกคุกคาม”
Coinbase ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีของสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากการฝาก USDC หรือ USDT ไว้บนแพลตฟอร์ม มีอัตราผลตอบแทน Yield ที่สูงถึง 4.1% ต่อปี ทำให้มันเป็นทางเลือกที่เหนือกว่าการนำเงินไปฝากไว้ในธนาคารทั่วไป
ขณะเดียวกัน ข้อมูลยังเผยชัดว่าเงินฝากในธนาคารจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด ขนาดที่ว่ากระทรวงการคลังสหรัฐฯ มีการประเมินว่าจะมีเงินไหลออกจากบัญชีเงินฝากกว่า $6.6 ล้าน ซึ่งถือเป็นวิกฤตที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะธนาคารส่วนใหญ่พึ่งพาเงินฝากของลูกค้าในการนำมาปล่อยกู้
ดังนั้น ยอดเงินฝากที่ลดลงจะส่งผลให้บริการของธนาคารถูกจำกัดในกรอบที่แคบลง ซึ่งจะนำไปสู่การล่มสลายในท้ายที่สุด นั่นจึงทำให้ธนาคารไม่อยากให้ Stablecoin มีปันผลที่ล่อตาล่อใจนักลงทุน
บทเรียนจากปี 2011
Simon Taylor ผู้เชี่ยวชาญด้านฟินเทคชื่อดัง ได้ออกมาเตือนว่า “ช่องโหว่ของกฎหมาย GENIUS Act” อาจกำลังจะสร้างผลลัพธ์ซ้ำรอยกับเหตุการณ์ Durbin Amendment ในปี 2011 อีกครั้ง
ในตอนนั้น กฎหมาย Durbin ได้บังคับให้ธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ต้อง “ลดค่าธรรมเนียมการรูดบัตรเดบิต” (Interchange Fees) ที่เก็บจากร้านค้า เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคและผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะธนาคารที่มีสินทรัพย์เกินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ จะถูกจำกัดเพดานค่าธรรมเนียมให้ต่ำลงอย่างมาก ส่งผลให้ธนาคารขนาดใหญ่สูญเสียรายได้หลัก ขณะที่ธนาคารขนาดเล็กยังคงเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราเดิมได้
Taylor อธิบายว่า นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ FinTech Startup เพราะบริษัทฟินเทคจำนวนมากเริ่มมองเห็น “ช่องโอกาส” จากกฎหมายฉบับนี้ พวกเขารีบจับมือกับธนาคารขนาดเล็ก เพื่อออก “บัตรเดบิตในชื่อของตัวเอง” โดยใช้โครงสร้างค่าธรรมเนียมของธนาคารเหล่านั้น
ผลที่ตามมา คือ ธนาคารขนาดเล็กได้รับรายได้จากค่าธรรมเนียม Interchange สูงขึ้น และแบ่งส่วนหนึ่งคืนให้กับบริษัท FinTech ในขณะที่ฝั่ง FinTech ก็สามารถเปิดบัญชีแบบ “ไม่มีค่าธรรมเนียม” ให้กับผู้ใช้ได้ เพราะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมรูดบัตรจำนวนมาก
ธนาคารดั้งเดิมจึงไม่สามารถแข่งขันได้ เนื่องจากอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของ Durbin ที่ทำให้ค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรมต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง ในขณะที่บริษัท Neobank กลับเติบโตขึ้นเป็นธุรกิจพันล้านดอลลาร์ ด้วยโมเดล “จับมือกับธนาคารท้องถิ่น แล้วแบ่งรายได้กัน”
Taylor มองว่า เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นกับ Stablecoin ในยุคของ GENIUS Act มื่อรัฐบาลพยายามจำกัดไม่ให้ผู้ออกเหรียญจ่ายดอกเบี้ยหรือปันผลโดยตรง แต่ผู้เล่นในตลาดก็เริ่ม “หาช่องทางใหม่” ผ่านผู้ให้บริการบุคคลที่สาม เพื่อยังคงสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือเหรียญได้เหมือนเดิม
นอกจากนั้น เขายังเสริมว่า ธนาคารแบบดั้งเดิมเริ่ม “ไม่เป็นมิตร” ต่อธุรกิจที่ต้องการความคล่องตัวทางการเงิน เพราะถูกผูกไว้ด้วยกฎระเบียบมากมาย ในขณะที่ การใช้ Stablecoin หรือคริปโตเคอร์เรนซี ช่วยให้ธุรกิจสามารถเคลื่อนย้ายเงินได้รวดเร็วและยืดหยุ่นกว่าเดิมมาก
สุดท้ายแล้วธนาคารจะเลือกต่อต้านหรือยอมปรับตัวเข้าร่วม แต่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
ที่มา : Beincrypto

