<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ฉาวโลกคริปโต! จีนกล่าวหาสหรัฐฯ ขโมย 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ใน Bitcoin! ปมร้อนแฮ็ก Mining Pool ปี 2020

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาได้ก้าวเข้าสู่มิติใหม่ในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัล เมื่อล่าสุดจีนได้ออกมากล่าวหาอย่างเปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผู้ที่ขโมย Bitcoin จำนวนมหาศาลถึง 127,000 BTC ซึ่งมีมูลค่าในปัจจุบันกว่า 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ถูกแฮ็กไปจาก LuBian Mining Pool ของจีนเมื่อปี 2020

เรื่องราวเริ่มต้นจากการโจมตีทางไซเบอร์ต่อ LuBian Mining Pool ซึ่งเป็นกิจการขุด Bitcoin ที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนและอิหร่าน ในเดือนธันวาคม 2020 โดยมีรายงานว่า Bitcoin จำนวน 127,426 BTC ได้ถูกขโมยไปเนื่องจากจุดอ่อนในอัลกอริทึมการสร้าง Private Key แต่ปริศนาที่สำคัญคือ การกล่าวหาครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ได้ประกาศยึด Bitcoin จำนวนเดียวกันนี้ (ประมาณ 127,271 BTC) จาก เฉิน จื้อ นักธุรกิจชาวกัมพูชา ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายหลอกลวงที่ใช้แรงงานบังคับเมื่อเดือนตุลาคม 2025

รายงานระบุว่า Bitcoin ที่ DOJ ยึดมานั้น เป็นชุดเดียวกับเหรียญที่ถูก “ขโมย” ไปจาก LuBian ในปี 2020 ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่าใครคือผู้ที่ “ขโมย” เหรียญเหล่านั้นจาก LuBian จริง ๆ หรือว่า LuBian ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานฟอกเงินของกลุ่มอาชญากร ได้ถูกโจรกรรมโดยแฮกเกอร์ที่บังเอิญมาก่อนที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้าถึงได้

การกล่าวหาโดยตรงจากจีนในครั้งนี้ได้ยกระดับประเด็นที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของคริปโตเคอร์เรนซีเข้าสู่เวทีความขัดแย้งระดับโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน นักวิเคราะห์มองว่า Bitcoin จำนวน 127,000 BTC ซึ่งคิดเป็นประมาณ 0.6% ของอุปทานทั้งหมด และมีมูลค่ามากกว่าทองคำสำรองของหลายประเทศ กลายเป็นเครื่องมือในเกมทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยการต่อสู้ในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่การสืบหาตัวแฮกเกอร์ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อ ความชอบธรรมในการถือครอง และ ความปลอดภัยของทรัพย์สินดิจิทัล ในระดับประเทศ ซึ่งทำให้เกิดคำถามที่สำคัญยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของการจัดการสินทรัพย์และการฟอกเงินที่เชื่อมโยงระหว่างประเทศ

ชุมชนคริปโตกำลังจับตาดูการเคลื่อนไหวของเหรียญ 127,000 BTC บน On-Chain อย่างใกล้ชิด โดยเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใสและเป็นอิสระ เพื่อยุติ “ละครฉากใหญ่” ทางการเมืองนี้ และเพื่อรักษาความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก.

ที่มา:coindesk ,   @AshCrypto