<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สัญญาณหาย ไฟตัด น้ำท่วม: บทเรียนจาก ‘จาเมกา’ ถึง ‘หาดใหญ่’ วิธีเอาตัวรอดด้วยเทคโนโลยี Decentralized

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ภาพข่าวสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ช่วงนี้ ได้บีบหัวใจคนไทยกันแทบทุกคนซึ่งหนึ่งในปัญหาที่เราเห็นซ้ำเดิมทุกครั้งเวลามีภัยพิบัติ ไม่ใช่แค่เรื่องระดับน้ำ การกู้ภัย หรือการขาดแคลนอาหาร แต่คือ “การขาดช่องทางการติดต่อสื่อสาร” ที่เริ่มมีสัญญาณปรากฏขึ้นแล้วในขณะนี้

พอไฟตัด เสาสัญญาณโทรศัพท์ก็ดับตาม พอเน็ตล่ม การขอความช่วยเหลือหรือเช็คความปลอดภัยของคนในครอบครัวก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ในขณะที่บ้านเรากำลังเผชิญปัญหานี้ เชื่อไหมว่าที่อีกฟากหนึ่งของโลกอย่าง “จาเมกา” (Jamaica) ก็เพิ่งเจอบททดสอบที่คล้ายกันเป๊ะๆ จากพายุเฮอริเคน Melissa เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จนระบบสื่อสารในประเทศล่มไปกว่า 70%

แต่สิ่งที่น่าสนใจจนกลายเป็นไวรัลในวงการเทคฯ ทั่วโลก คือการที่คนจาเมกาจำนวนมหาศาล เอาตัวรอดจากการถูกตัดขาดด้วยแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า “Bitchat” จนยอดดาวน์โหลดพุ่งขึ้นอันดับ 1 แซงหน้าทุกแอปโซเชียลมีเดีย

ทำไมต้องเป็นแอปนี้?

Bitchat เป็นแอปพลิเคชันที่มี Jack Dorsey อดีตผู้ก่อตั้งทวิตเตอร์เป็นผู้ร่วมพัฒนา และความพิเศษของมัน คือแอปไม่ได้ทำงานผ่านเสาสัญญาณโทรศัพท์เหมือนแอปทั่วไป แต่มันใช้ระบบที่เรียกว่า “Bluetooth Mesh Networking”

อธิบายภาษาชาวบ้านคือ มันเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือของทุกคนให้กลายเป็น “เสาสัญญาณขนาดย่อม” (Node) เมื่อคุณส่งข้อความ ข้อความนั้นจะไม่วิ่งไปที่เสาโทรศัพท์ แต่จะกระโดด (Hop) จากมือถือของคุณ ไปหามือถือเครื่องข้างๆ และส่งต่อไปเรื่อยๆ เป็นทอดๆ จนถึงปลายทาง ยิ่งคนใช้แอปนี้เยอะ เครือข่ายก็ยิ่งกว้างและแข็งแกร่งขึ้น โดยไม่ต้องง้ออินเทอร์เน็ต

ในจาเมกา ฟีเจอร์ที่ช่วยชีวิตคนได้มากที่สุดคือ “Location Notes” หรือการปักหมุดแบบออฟไลน์ โดยชาวบ้านสามารถปักหมุดเตือนภัยได้ทันทีว่า “ซอยนี้ระดับน้ำสูงอันตราย”, “ตรงนี้มีศูนย์พักพิง”, หรือ “จุดนี้มีน้ำสะอาดแจก” ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเด้งขึ้นเตือนคนที่อยู่ในระยะสัญญาณ Mesh ทันที และนี่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของคำว่า “Decentralized” (การกระจายศูนย์) ในโลกแห่งความจริง

เมื่อศูนย์กลางอันเป็นที่พึ่งล้มเหลว

โดยปกติแล้วเวลาเราคุยเรื่อง Decentralized มันมักจะอยู่ในมุมของการเงิน ( DeFi) หรือราคาเหรียญ แต่แก่นแท้ของมันคือที่จริงแล้วคือ “Resilience” หรือความทนทานต่อการถูกทำลายต่างหาก

ในภาวะปกติ ระบบแบบรวมศูนย์ (Centralized) อย่างค่ายมือถืออาจจะสะดวกและเร็ว แต่เมื่อไหร่ที่ “ตัวกลาง” ล้มเหลว ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใดก็ตาม ผู้คนจำนวนมากจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่า ระบบ Decentralized ที่อำนาจการสื่อสารอยู่ในมือของ “ผู้ใช้งานทุกคน” (Peer-to-Peer) อาจจะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานเดียวที่เหลืออยู่

กรณีศึกษาจากจาเมกา (รวมถึงเหตุการณ์ประท้วงในเนปาลและอินโดนีเซียก่อนหน้านี้) กำลังบอกเราว่า เทคโนโลยี Blockchain และ Decentralized Network ไม่ใช่แค่เรื่องของการเก็งกำไร แต่มันคือเครื่องมือที่สามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในยามวิกฤตได้เช่นเดียวกัน

ย้อนกลับมาที่ภาคใต้ของไทย บทเรียนนี้ชวนให้เราฉุกคิดนะครับว่า นอกจากการเตรียมถุงยังชีพ ไฟฉาย หรือพาวเวอร์แบงก์แล้ว ถึงเวลาหรือยังที่เราควรเริ่มศึกษาและติดตั้ง “เครื่องมือสื่อสารฉุกเฉิน” แบบไม่ง้อเน็ตติดเครื่องไว้บ้าง เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด

และในอนาคต หากเราสามารถผลักดันเทคโนโลยีกลุ่ม DePIN (Decentralized Physical Infrastructure Networks) ให้เกิดขึ้นจริงในไทย เราอาจจะไม่ต้องรอความหวังจากเสาสัญญาณหลักเพียงอย่างเดียว แต่เราจะมีเครือข่ายภาคประชาชนที่ช่วยเหลือกันเองได้ทันทีที่ภัยพิบัติมา

ทั้งนี้ ทางทีมงานสยามบล็อกเชนขอส่งกำลังใจให้พี่น้องชาวใต้ทุกคนปลอดภัย และหวังว่าวิกฤตครั้งนี้จะผ่านพ้นไปโดยเร็วที่สุดครับ

ภาพ : ไทยรัฐ