<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

VanEck เผยสัญญาณดี! การยอมจำนนของนักขุดอาจชี้ว่าจุดต่ำสุดของ Bitcoin ใกล้เข้ามาแล้ว

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

VanEck บริษัทจัดการสินทรัพย์ระดับโลกให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า การที่ค่า Hashrate (พลังประมวลผลในการขุด) ของ Bitcoin ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนดิ่งลงถึง 4% ภายในเดือนเดียว ตามข้อมูล ณ วันที่ 15 ธ.ค. 2025 อาจไม่ใช่ข่าวร้ายอย่างที่หลายคนคิด แต่กลับเป็นสัญญาณบวกที่เรียกว่า “นักขุดยอมจำนน” 

ตามสถิติแล้ว ช่วงที่เหล่านักขุดทนการขาดทุนไม่ไหวจนต้องถอนตัวออกไป มักจะเป็นสัญญาณว่า ราคา Bitcoin ได้ลงมาถึง ‘จุดต่ำสุด’ แล้ว เพราะเมื่อเหล่านักขุดที่สายป่านสั้น เริ่มปิดเครื่อง เลิกขุด แรงเทขายมหาศาลที่เคยถล่มตลาดก็จะค่อย ๆ หมดไป ทำให้แรงกดดันราคา Bitcoin หายไปในที่สุด และกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ราคา Bitcoin จะเริ่มฟื้นตัว หรือพุ่งกลับขึ้นไปรอบใหม่

จากการวิเคราะห์โดย Matt Sigel และ Patrick Bush นักวิเคราะห์จาก VanEck พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ค่าแฮชเรตเริ่มลดลงต่อเนื่องจนนักขุดถอนตัวออกไป มักจะตามมาด้วยการฟื้นตัวของราคาที่แข็งแกร่งกว่าปกติ 

โดยสถิติย้อนหลังระบุว่า ภายใน 90 วัน หลังจากแฮชเรตติดลบ ราคา Bitcoin มีโอกาสปรับตัวขึ้นถึง 65% ของช่วงเวลานั้น และหากมองไปในระยะยาว 180 วัน โอกาสที่ราคา Bitcoin จะพุ่งสูงถึง 77% โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 72% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ดีกว่าช่วงที่แฮชเรตพุ่งสูงขึ้นเสียอีก

เรียกง่าย ๆ ว่า ยิ่งเห็นนักขุดออกจากตลาดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นสัญญาณว่า ราคา Bitcoin อาจใกล้ถึงจุดต่ำสุด และเตรียมทะยานกลับไปทำสถิติใหม่ได้มากขึ้น

ซึ่งราคา Bitcoin ปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดประวัติการณ์ที่ $126,080 ดอลลาร์ ลดลงมาแล้วกว่า 30% โดยปัจจุบันราคา Bitcoin มีการซื้อขายกันอยู่ที่ระดับ $88,400 ดอลลาร์

ข้อมูลจาก VanEck ชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมการขุด Bitcoin ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2025 กำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤต โดยพบว่า ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เครื่องขุดรุ่นยอดนิยมอย่าง Bitmain S19 XP จะทำกำไรได้ หรือจุดคุ้มทุน นั้นลดต่ำลงอย่างมาก จากที่เคยอยู่ที่ $0.12/kWh ในช่วงปลายปี 2024 ดิ่งลงเหลือเพียง $0.077/kWh หรือลดลงเกือบ 36% ภายในเวลาเพียงปีเดียว ซึ่งหมายความว่า ถ้านักขุดคนไหน เข้าถึงค่าไฟราคาถูกไม่ได้ ก็จะขาดทุนย่อยยับ จนต้องยอมปิดเครื่อง และออกจากตลาดไปในที่สุด

การเปลี่ยนแปลงราคาจุดคุ้มทุนของเครื่องขุด S19 XP ตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 แหล่งที่มา: VanEck

ซึ่งสภาวะที่นักขุดรายย่อย หรือผู้ที่มีต้นทุนสูง เริ่มรับภาระไม่ไหวจนต้อง “ยอมแพ้” (Capitulation) ถือเป็นสัญญาณคลาสสิกที่มักจะเกิดขึ้นก่อนที่ราคา Bitcoin จะกลับตัวเป็นขาขึ้นเสมอ 

เมื่อเครื่องขุดรุ่นเก่าที่ไม่มีประสิทธิภาพทยอยปิดตัวลง แรงเทขายเหรียญ Bitcoin จากฝั่งนักขุด เพื่อนำมาจ่ายค่าไฟก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย ทำให้ตลาดเหลือเพียงนักขุดตัวจริงที่มีสายป่านยาวและต้นทุนต่ำ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรีบขายเหรียญ Bitcoin ทิ้ง สถานการณ์นี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่บอกว่า แรงกดดันในด้านฝั่งขายลดลงจนถึงขีดสุด และเครือข่ายก็พร้อมสำหรับการเริ่มต้นฟื้นตัวรอบใหม่อย่างแข็งแกร่งแล้ว

การร่วงลงของค่าแฮชเรตกว่า 4% ในช่วงที่ผ่านมา มีสาเหตุหลักมาจากการที่ “จีนสั่งปิดเหมืองขุดขนาดใหญ่” โดยมีการปิดกำลังขุดสูงถึง 1.3 กิกะวัตต์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเครือข่าย Bitcoin ทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัด 

ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนกระแสนี้ นอกจากการกวาดล้างเหมืองขุดแล้ว ยังมาจากเทรนด์ที่โรงไฟฟ้าหลายแห่งในจีน เริ่มหันไปให้บริการด้าน AI (Artificial Intelligence) แทนการให้เหมืองคริปโตเช่าพื้นที่ เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่จูงใจกว่า 

หากกระแสการเปลี่ยนผ่านธุรกิจจาก “เหมืองขุด” ไปเป็น “ศูนย์ข้อมูล AI” ยังคงพุ่งแรงต่อเนื่อง นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เราอาจเห็นพลังการขุด Bitcoin ทั่วโลกหายไปได้มากถึง 10% ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว

แม้จีนจะเริ่มถอยห่างจากการขุด Bitcoin แต่หลายประเทศในระดับโลกกลับมีทิศทางที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง โดยรายงานจาก VanEck ระบุว่า ปัจจุบันมีอย่างน้อย 13 ประเทศ ที่รัฐบาลหันมาสนับสนุนหรือร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมการขุดอย่างเป็นทางการ ได้แก่ รัสเซีย, ฝรั่งเศส, ภูฏาน, อิหร่าน, เอลซัลวาดอร์, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE), โอมาน, เอธิโอเปีย, อาร์เจนตินา, เคนยา และญี่ปุ่น ที่เป็นรายล่าสุด

ที่มา : cointelegraph