รายงานจาก สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย ระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ชี้ มิจฉาชีพในคดีฉ้อโกงของ “บูม” มีการนำเอา Bitcoin มาใช้เพื่อบังหน้า แต่ภายหลังนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ นอกจากนี้ทาง ธปท. ยังแนะนำนักลงทุนว่าต้องทำความเข้าใจกับเงินดิจิทัลให้รอบคอบ
ตามที่ทางสยามบล็อกเชนเคยรายงานข่าวเกี่ยวกับคดีของบูมที่หลอกลวงชวนชาวต่างชาติให้ลงทุนในเงินดิจิทัล ซึ่งเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 797 ล้านบาท ล่าสุดทางกองปราบปรามได้เรียกตัวผู้ที่เข้าข่ายกระทำความผิด และถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์จำนวน 5 คน เข้าพบในวันที่ 29 สิงหาคมนี้
ภายหลังจากนั้นไม่นานก็มีหน่วยงาน อย่าง ก.ล.ต. ออกมาแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนดังกล่าว โดยนายรพี สุจริตกุล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ล่าสุด นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า คดีที่เกิดขึ้นเป็นการใช้ Bitcoin เป็นช่องทางในการหลอกลวง โดยนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ไม่ใช่การโกงที่เกิดขึ้นในระหว่างการซื้อขายเงินดิจิทัล
โดยผู้ว่าธปท. ได้ย้ำเตือนการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ว่า:
“นักลงทุนต้องเข้าใจตราสารที่จะลงทุนว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้าง โดยเฉพาะคริปโตเคอร์เรนซี่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะมีความผันผวนสูง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงทางด้านเทคโนโลยี”
นายวิรไทกล่าวทิ้งท้ายว่า ผู้ที่จะลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลจะต้องศึกษาเข้าใจอย่างละเอียด รวมทั้งเงินที่จะใช้ลงทุนต้องเป็นเงินส่วนเกินที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้
ปัจจุบันเว็บไซต์ Howmuch.net ได้เปิดเผยข้อมูลตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันว่าในวงการ cryptocurrency นั้นมีการฉ้อโกงกันไปแล้วโดยมีมูลค่าความเสียหายที่มากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สำหรับปี 2018 ปีนี้รวมกันภายในปีเดียว
สำหรับวิธีการฉ้อโกงนั้น อันดับแรกมาจากการแฮคกระเป๋าเก็บคริปโตของผู้ให้บริการเว็บซื้อขาย, อันดับที่สองมาจากการ phishing (การหลอกให้คลิก URL ปลอมเพื่อกรอกข้อมูลส่วนตัว) และอันดับที่สามคือการหลอกให้มาลงทุนธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ก่อนที่จะปิดตัวลง
ภาพจาก wall street
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น