เมื่อเร็ว ๆ นี้มีรายงานว่านี้นาย Craig Wright ผู้ที่อ้างว่าตนเป็น “ Satoshi Nakamoto” ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ของ nChain ได้ส่งจดหมายที่เกือบจะเหมือนกันทุกประการจำนวน 2 ฉบับไปที่หน่วยงานกำกับดูแลด้านการซื้อขายฟิวเจอร์หรือ United States Commodity Futures Trading Commission (CFTC) ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ นาย Wright ได้ยื่นเอกสาร 2 ฉบับที่ทางหน่วยงานได้ร้องขอซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตและผลตอบรับของกลไกและตลาด Ethereum
ซึ่งทางหน่วยงาน CFTC ก็ได้กำหนดเดดไลน์ให้ตอบกลับในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ โดยได้บอกเหตุผลที่ทางหน่วยงานจำเป็นต้องได้ข้อมูลดังกล่าวไว้ดังนี้:
“ข้อมูล Input ดังกล่าวจะช่วยพัฒนาภารกิจของ CFTC ในเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดอนุพันธ์ รวมถึงตรวจสอบและลดความเสี่ยงด้วยการเสริมสร้างหลักประกันความเที่ยงตรงของกติกาทางการปกครอง ทั้งนี้ทาง RFI ต้องการที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเหมือนและความต่างระหว่างเงินจริงและเงินเสมือนรวมถึงทำการศึกษาเกี่ยวกับเหรียญ Ether ในแง่ของโอกาส ความท้าทายและความเสี่ยง”
จดหมายทั้งสองฉบับที่เข้ามาอธิบายในเรื่องนี้ให้กับทาง CFTC นั้นเป็นของนาย Wright ที่ยืนยันว่าตนได้ทำงานภายใต้นามแฝง “Satoshi Nakamoto” ซึ่งตัวเขาเองมีต้นฉบับอยู่แล้วตั้งแต่ปี 1997 เป็นโปรเจ็คที่เขาทำส่งให้รัฐบาลออสเตรเลียในโปรเจ็ค AusIndustry ที่จดทะเบียนไว้กับหน่วยงานนวัตกรรมโดยใช้ชื่อว่า “BlackNet”
อ้างอิงจากทวิตเตอร์ของนาย Wright เขาได้กล่าวว่าโปรเจ็ค BlackNet นั้นได้เกิดขึ้นมาก่อน Bitcoin (BTC) และได้ส่งให้กับรัฐบาลออสเตรเลียในปี 2001
เมื่อมีการโพสต์ทวิตเตอร์เกี่ยวกับโปรเจ็ค BlackNet ดังกล่าวทำให้เกิดกระแสออกมาโต้แย้งมากมายเนื่องจากนาย Wright ได้อ้างว่าทำโปรเจ็คเสร็จสิ้นตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีที่แล้วก่อนจะมี Bitcoin White Paper รวมถึงความเหมือนอย่างน่าประหลาดในรายละเอียดด้านเนื้อหาในตอนหลัง
ซึ่งก็มีคนกลุ่มหนึ่งใน Reddit ออกมากล่าวว่า BlackNet Paper นั้นขโมยมาจาก Bitcoin White Paper (ที่เผยแพร่ออกมาในเดือนตุลาคมปี 2008) ที่ได้มีการแก้ไขต้นฉบับก่อนหน้าที่จะมีการเผยแพร่จาก Satoshi ในเดือนสิงหาคม ปี 2008 สรุปว่า Paper ดังกล่าวเป็นฉบับที่นำมาแก้ไขและทำซ้ำซึ่งไม่ใช่ร่างต้นฉบับเป็นเล่ห์เหลี่ยมเพื่อบิดเบือดความจริงว่านาย Wright เป็นผู้สร้าง Bitcoin ที่แท้จริง
ส่วนหนึ่งในจดหมายที่ส่งถึง CFTC ของนาย Wright มีใจความว่า:
“ข้อมูลเกี่ยวกับ Bitcoin ที่เผยแพร่ออกไปนั้นยังมีบางส่วนที่เข้าใจผิดและไม่ถูกต้องทำให้ผมจำเป็นจะต้องเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะชนมากขึ้น ระบบที่ผมได้สร้างและออกแบบเพื่อขจัดการฉ้อโกงให้มาที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีจะทำได้ และความไม่เข้าใจส่งผลให้การสแกมแบบเดิม ๆ แพร่กระจายไปทั่ว”
อย่างไรก็ตามเมื่อเร็ว ๆ นี้นาย Wright ได้เข้าไปพัวพันคดีเกี่ยวกับการขโมยบิทคอยน์จากนักพัฒนาคริปโต David Kleiman ต่อมาจนถึงช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 นาย Wright ก็ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการ Hard Fork ของ Bitcoin Cash ซึ่งทำให้เกิดการ Fork ออกมาเป็น Bitcoin SV (BSV)
นอกจากนั้น Wright แล้วก็มีบุคคลอื่น ๆ เช่น Ethereum Foundation, Coinbase, Consensys และ R3 ก็ได้ส่งจดหมายแสดงความคิดเห็นไปที่ CFTC ด้วยเช่นกัน รวมถึงเว็บเทรดคริปโตสัญชาติชิคาโก้ ErisX ก็ได้ส่งจดหมายแสดงความคิดเห็นในเรื่องของผลกระทบในแง่บวกหากมีการออกฎหมายมากำกับสัญญาการซื้อขายฟิวเจอร์ของ Ethereum อีกด้วย
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น