สำนักข่าว Cryptoslate รายงานว่าราคาของ Bitcoin ที่ร่วงลงครั้งนี้ทำสถิติเป็นการร่วงครั้งที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2018 เมื่อวันที่ 24 กันยายนราคาของ Bitcoin ร่วงลงไปถึง 18 เปอร์เซ็น แต่ที่น่าสนใจคือก่อนที่ราคาของ Bitcoin จะลง ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาก็ประสบกับรูปแบบราคาที่ลดลงคล้ายๆ กัน ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าราคาของตลาดหุ้นสหรัฐกับราคาของ Bitcoin นั้นเกี่ยวข้องกันหรือไม่ หรือว่า Bitcoin นั้นเป็นสินทรัพย์ Safe Haven จริงๆ รึเปล่า
เวลาของตลาดขาขึ้นหมดลงแล้ว
ราคา Bitcoin ที่ร่วงลงไปสูงมากครั้งนี้สร้างความสนใจให้กับคนในวงการคริปโตเป็นอย่างมาก เนื่องจากราคาในตอนนี้เดินไปในทิศตรงกันข้ามกับที่หลายๆ คนคาดหวังไว้ นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากคาดการณ์ไว้ว่าในปี 2019 นี้เหรียญ Bitcoin มีแต่จะเดินหน้าขึ้นราคาเท่านั้น
สืบเนื่องมาจากการเปิดตัวที่เงียบเหงาของเว็บกระดานเทรด Bitcoin Futures Bakkt ในตอนแรกนักลงทุนต่างเชื่อข่าวลือว่า Bakkt จะดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่จากสถาบันการเงินให้มาลงทุนในวงการ Bitcoin ส่งผลให้ราคาของ Bitcoin ดีขึ้น แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น
ราคาของ Bitcoin กลับไปในทิศตรงกันข้ามเมื่อวันที่ 24 กันยายนมันลงไปเกือบถึงระดับ 8,000 ดอลลาร์ในบางเว็บเทรด
ทันทีเมื่อราคาของ Bitcoin ร่วงทะลุแนวรับ 8,000 ดอลลาร์ มีผู้คิดค้นทฤษฎีมากมายเพื่อหาสาเหตุอธิบายว่าทำไมถึงเกิดปรากฎการณ์เช่นนี้ขึ้น ซึ่งหลายทฤษฎีเชื่อว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาของ Bitcoin ดิ่งลงเหวนั้นก็คือกรณีที่ค่าแรงขุดของ Bitcoin เมื่อวันที่ 24 กันยายนลดลงอย่างรุนแรงโดยที่ไม่มีใครรู้สาเหตุ
ข้อมูลของเว็บไซต์ Blockchain.com เผยว่าค่าแรงขุดของ Bitcoin ลดลงจากที่ 98 M TH/s ไปเป็น 67 M TH/s ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที โดยค่าแรงขุดนั้นถือเป็นค่าตัวเลขที่สามารถบ่งบอกความเร็วของการปฎิบัติการเกี่ยวกับ Bitcoin ได้ ดังนั้นแล้วเมื่อนักลงทุนเห็นว่าค่าแรงขุดลดลงพวกเขาจึงคิดว่าระบบนั้นไม่ค่อยมั่นคงและตัดสินใจเทขาย Bitcoin ทิ้งในทันที
ราคาหุ้นในตลาดหุ้นกับ Bitcoin เกี่ยวกันหรือไม่?
หลายคนมองว่าเว็บกระเทรด Bakkt และ Bitcoin Futures เป็นต้นเหตุของทั้งหมด เว็บ Bakkt ซึ่งสามารถมอบ Bitcoin เป็นผลตอบแทนให้นักลงทุนนั้นสร้างความหวังให้กับตลาดไว้มากเกินไป เมื่อการเปิดตัวของ Bakkt ทำให้ทุกคนผิดหวังนักลงทุนจึงหวาดวิตกรีบขาย Bitcoin กันหมด
นาย Mati Greenspan นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ eToro เทรดดิ้งแพลตฟอร์มแสดงความคิดเห็นว่ากรณีของ Bakkt นั้นเป็นตัวอย่างของสำนวน “ซื้อข่าวลือ ขายข่าวจริง” ได้เป็นอย่างดี สำนวนดังกล่าวเป็นกลวิธีทำกำไรทางการตลาดในการฉวยโอกาสซื้อหุ้นในช่วงที่ราคากำลังขึ้นเพราะข่าวลือและขายออกเมื่อข่าวจริงปรากฎ
นาย Alex Mashinsky ซีอีโอของบริษัท Celcius Network เห็นพ้องกับทฤษฎีที่มองว่า Bakkt เป็นต้นเหตุ เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Barron ว่าการเปิดตัวที่น่าผิดหวังของ Bakkt แสดงให้เห็นว่าสถาบันการเงินต่างๆ ยังไม่สนใจอยากจะลงทุนใน Bitcoin มากนัก
แต่ถึงอย่างไรก็ตามนาย Greenspan พูดถึงมุมมองที่น่าสนใจพอสมควร เขาเปรียบเทียบกราฟราคาระหว่าง Bitcoin และตลาดหุ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าราคาของทั้งสองสินทรัพย์มีรูปแบบการเคลื่อนไหวที่คล้ายกัน
นาย Greespan โพสต์ในทวิตเตอร์ว่าเมื่อวันที่ 24 กันยายนตลาดหุ้นของอเมริกานั้นมีราคาต่ำลงก่อนที่ราคาของ Bitcoin จะร่วงลงพอดี
“ผมรู้ว่าตลาดทั้งสองตลาดนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญที่แปลกมาก” นาย Greenspan เสริม
Plunge in the US stock market (orange line) proceeded the bitcoin breakout (blue).
I know it's an uncorrelated asset but this is a really strange coincidence. ? pic.twitter.com/ICpM0W7esH
— Mati Greenspan (@MatiGreenspan) September 25, 2019
ผู้ใช้ทวิตเตอร์หลายคนค่อนข้างเห็นด้วยกับข้อสังเกตของนาย Greenspan พวกเขากล่าวว่าควรจะมีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นนี้เพิ่มเติม แต่มีคนส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น
ผู้ใช้ในเว็บบอร์ด Reddit คัดค้านนาย Greenspan โดยชี้ให้เห็นว่ากราฟการเปรียบเทียบของเขานั้นเป็นกราฟราคาแบบระยะสั้น แต่หากเมื่อสร้างกราฟราคาเปรียบเทียบแบบระยะยาวแล้วจะเห็นว่าปรากฎการณ์นี้เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนกันแล้วจะเห็นว่าราคาของ Bitcoin นั้นลดลงไปกว่า 14 เปอร์เซ็นแต่ราคาของตลาดหุ้นลดลงไปเพียง 1 เปอร์เซ็น
ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองตลาดจะเป็นแค่ทฤษฎีหรือคำถาม มันก็สามารถทำให้คนในวงการสกุลเงินดิจิตอลสงสัยขึ้นมาได้ ถ้าทั้งตลาดหุ้นและ Bitcoin มีราคาฟื้นตัวขึ้นมาพร้อมกันในอนาคต เราอาจจะได้เห็นข้อพิสูจน์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสองตลาดมากกว่านี้
ที่มา Cryptoslate
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น