วันที่ 1 มกราคม 2017 ที่จะถึงนี้ จะมีร่างนโยบายใหม่เกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินสดที่จะมีผลบังคับใช้ในประเทศสเปน ซึ่งจะส่งผลให้การซื้อขายด้วยเงินสดจะถูกจำกัดอยู่ที่ 1,000 ยูโร โดยเป็นแผนการที่จะต่อสู้กับการฟอกเงินและอาชญากรรม
โดยธรรมชาติแล้ว เงินสดนั้นทำการใช้จ่ายกันแบบตรวจสอบไม่ได้จึงทำให้การซื้อขายของผิดกฏหมายโดยการใช้เงินสดเป็นที่นิยม จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลสเปนมีความพยายามที่จะเลิกใช้เงินสด และแทนด้วยระบบการเงินแบบดิจิทัลที่ง่ายต่อการควบคุม
ซึ่งในตอนนี้ทางรัฐบาลในบางประเทศอย่างสเปนและอินเดียเริ่มมีการออกมาประกาศยุติการใช้ธนบัตรหรือจำกัดวงเงินในการซื้อขาย
ในวันที่ 30 พฤศจิกายน เป็นวันที่ทางรัฐบาลสเปนมีการประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยมีแนวคิดเดียวกับประเทศอินเดีย นั่นคือความพยายามกำจัดอาชญากรด้านการเงิน และหยุดกระแสเงินที่ผิดกฏหมาย แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีได้รับผลกระทบมากที่สุดอาจจะไม่ใช่อาชญากร แต่เป็นประชาชนสุจริตที่มีอยู่ 99% ในประเทศ
ตัวอย่างที่มีให้เห็นก่อนหน้านี้คือนายกรัฐมนตรีแห่งอินเดีย นาเรนดรา โมดิ ได้ทำการประกาศยกเลิกการใช้ธนบัตร 500 และ 1,000 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงสู่ประชาชนชั้นล่างและชั้นกลางรวมไปถึงนายจ้างในประเทศ และยังทำให้เศรษฐกิจปั่นป่วนอีกด้วย โดยเฉพาะธนบัตร 500 ที่ถูกยกเลิกนั้นได้สร้างความไม่พึงพอใจอย่างมากท่ามกลางประชนชนในอินเดีย
กระนั้น รัฐบาลสเปนก็ได้พยายามเดินตามรอยเท้าของอินเดีย และออสเตรเลีย ในการควบคุมการใช้เงินสด โดยกฏมีอยู่ว่าการซื้อขายที่มากกว่า 1,000 ยูโรขึ้นไปจะต้องถูกทำธุรกรรมผ่านระบบของธนาคารหรือระบบการเงินออนไลน์อื่นๆเช่น PayPal ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าค่าธรรมเนียมนั้นมหาศาล
แต่ท้ายที่สุดแล้ว บริษัท startup เล็กๆหรือครอบครัวทั่วๆไปจะเป็นผู้โชคร้าย เพราะการปรับจำกัดวงเงินเหลือ 1,000 ยูโรจะทำให้การทำธุรกรรมขนาดใหญ่สำคัญๆที่จะมีในอนาคตนั้นลดลง โดยเฉพาะบริษัท startup ที่ทำธุรกิจอยู่บนเม็ดเงินขนาดเล็กจะโดนเยอะสุด เพราะการซื้อขายที่มากกว่า 1,000 ยูโรนั้นมีเกิดขึ้นแทบทุกวัน หากต้องทำธุรกรรมผ่านระบบธนาคารหรืออนไลน์ บริษัทจะต้องสูญเงินค่าธรรมเนียมไปอย่างมหาศาลซึ่งอาจถึงขั้นทำให้ธุรกิจหยุดชะงักลงได้
ที่สำคัญกว่านั้น การคาดเดาการเคลื่อนไหวของรัฐบาลหรือผู้กุมอำนาจทางได้กฏหมายการเงินนั้นกระทำได้ยาก ถ้าหากรัฐบาลสเปนตั้งใจจะทำจริงก็คงไม่มีอะไรมาหยุดพวกเขาได้
Bitcoin คือทางออก
ณ เวลานี้คือช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังส่งสัญญาณความไม่แน่นอน โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวทางด้านการเงินจากรัฐบาลในด้านการออกนโยบ่ายต่างๆเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้นการถือครองสินทรัพย์อย่างทองหรือ Bitcoin ควรจะเป็นสิ่งที่น่าคำนึงถึง ผู้คนควรที่จะเริ่มคิดคำนึงถึงตัวเลือกใหม่แทนที่จะยึดติดอยู่กับเงินสดแบบเก่า บริษัท startup ควรที่จะหาตัวเลือกช่องทางใหม่ที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมแบบเบ็ดเสร็จได้ในการทำการค้าขาย เพื่อให้แน่ใจว่าหากพิษกฏหมายใหม่ทางการเงินมาถึง พวกเขาจะได้เตรียมตัวทัน
นายไซมอน แบลค นักลงทุนระหว่างประเทศ และเจ้าของบริษัท Sovereign Man ได้เขียนบทความพูดถึงความไม่สมเหตุสมผลถึงการกระทำของรัฐบาล โดยเฉพาะประเทศที่มีธันบัตรหน่วยสูงๆใช้งานมักจะทำให้อาชญากรรมต่ำ โดยเฉพาะในเรื่องของการฟอกเงิน
“ดูเหมือนว่าประเทศที่มีธนบัตรหน่วยสูงๆใช้งานมักจะมีประวัติทางด้านอาชญากรรมต่ำ รวมถึงองค์กรนอกกฏหมายด้วย” นายแบลคได้กล่าวไว้ “การทำการค้นคว้านั้นง่ายมาก เราแค่ลองไปเช็คอันดับอาชญากรรมของประเทศต่างๆที่ World Economic Forum รวมถึงงบประมาณที่ใช้ในการจัดการอาชญากรของประเทศนั้นๆ แล้วลองเทียบดู ยกตัวอย่างเช่นสวิสเซอแลนด์ที่มีธนบัตร 1,000 สวิสฟรังค์ (ราวๆ 35,000 บาท) มีอัตราอาชญากรรมต่ำที่สุดในโลก ซึ่งอ้างอิงโดย WEF ของสิงค์โปรก็ต่ำเช่นกัน พวกเขามีธนบัตรใบละ 1,000 ดอลล่าร์ (ราวๆ 25,000 บาท) ญี่ปุ่นมีใบละ 10,000 เยน (ราวๆ 3,100 บาท) คุณลองดูสิว่าอาชญากรรมบ้านเค้าน้อยขนาดไหน ซึ่งก็ไม่ต่างกับ UAE ที่มีธนบัตรใบสูงสุดคือ 1,000 เดอร์แฮม (ราวๆ 9,700 บาท)” กล่าวโดยนายแบลค
หากคำนึงถึงความพยายามแบบผิดๆในการจำกัดวงเงินในการซื้อขาย บริษัท startup, ประชาชน, บริษัทใหญ่และนักลงทุนรายใหญ่ควรจะรู้ไว้ว่ากฏหมายนั้นจะส่งผลต่อประชาชน 99% ทั้งประเทศมากกว่าที่จะส่งผลต่อพวกอาชญากรที่เหลืออีก 1% ดังนั้นถ้าหากมันเกิดขึ้นจริงๆ การครอบครองทอง Bitcoin หรือสินทรัพย์ชนิดอื่นควรเป็นสิ่งที่เริ่มจะคำนึงถึงได้แล้ว
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น