ขนาดโวลลุ่มของการใช้จ่ายผ่านช่องทางอิเลคทรอนิคได้แซงหน้าการใช้จ่ายด้วยเงินสดไปแล้วเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา โดยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ในขณะที่บิทคอยนั้นก็มีโอกาสที่จะเอาชนะบัตรเครดิตและเดบิตได้ในอีกสิบปีข้างหน้า
Euromonitor International (EI) หรือหน่วยข่าวกรองที่คอยเก็บข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับการเงินของโลกใบนี้ได้เผยให้เห็นว่าการใช้จ่ายผ่านช่องทางอิเลคทรอนิคด้วยบัตรเครดิตและเดบิตนั้นได้พุ่งไปถึง 25 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 12 เดือน
โดยกราฟด้านล่างนั้นยังไม่ได้รวมตัวเลขจากบริษัทฟินเทคด้านการเงินต่างๆอย่างเช่นอาลีบาบาเข้าไปด้วย
บิทคอย, Alipay, Paypal ผู้นำทางด้านนวัตกรรมการจ่ายเงินผ่านระบบอิเลคทรอนิค
การใช้จ่ายบิทคอยเกิดขึ้นประมาณ 200,000 ครั้งต่อวันโดยเฉลี่ย โดยอ้างอิงจากผู้ให้บริการกระเป๋าบิทคอยที่ใหญ่ที่สุด
บริษัทอาลีเพย์ผู้ซึ่งควบคุมส่วนแบงการตลาดทางด้านระบบธุรกรรมออนไลน์มากกว่า 50 เปอเซนต์ทั่วโลก และมากกว่า 78 เปอเซนต์ในจีน ได้มีการใช้จ่ายผ่านแอพต่อวันเป็นจำนวน 80 ล้านครั้งต่อวัน และมีการใช้จ่ายต่อปีราว 500 พันล้านดอลลาร์ต่อปี โดยระบบที่ว่านี้ยังมีผู้ใช้งานขาประจำอยู่ราวๆ 900 ล้านคนที่ใช้แอพที่ว่านี้ในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
บริษัท PayPal หรือผู้ให้บริการทางด้านระบบการเงินที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯมีผู้ใช้ระบบนี้ส่งเงินไปแล้วรวมกันถึง 280 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้นำในสหรัฐฯอย่างแท้จริง
ถ้าหาก EI ได้ทำการเก็บข้อมูลตัวเลขการใช้จ่ายด้วยเงินสดและนำมาเปรียบเทียบกับตัวเลขของการใช้จ่ายทางด้านอิเลคทรอนิคด้วยบิทคอย, Alipay, PayPal และระบบอื่นๆด้วยแล้ว เราอาจจะได้เห็นความแตกต่างทางด้านมาร์จินระหว่างการใช้จ่ายผ่านเงินสดและการใช้จ่ายผ่านอิเลคทรอนิคที่อาจมีความต่างกันราวๆ 2-3 ล้านล้านดอลลาร์
กราฟที่เห็นด้านล่างจาก Nanja Economics และ EI นั้นได้แสดงให้เห็นถึงเส้นสีฟ้าที่บ่งบอกถึงจำนวนการใช้จ่ายผ่านอิเลคทรอนิคที่วิ่งแซงเส้นสีเขียวที่บ่องบอกถึงการใช้จ่ายผ่านเงินสดที่น่าจะวิ่งผ่าน 25 ล้านล้านดอลลาร์ไปแล้ว
Electronic payments beat cash payment for the first time in history h/t @jsblokland pic.twitter.com/G3Ja7YTvX6
— Ninja Economics (@NinjaEconomics) January 16, 2017
แปล: ระบบจ่ายเงินอิเลคทรอนิคแซงหน้าการจ่ายเงินด้วยเงินสดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
บิทคอยจะเป็นตัวต้นแบบของระบบทั้งหมด
หน้าที่ของบิทคอยในยุคของการใช้จ่ายผ่านช่องทางอิเลคทรอนิคนั้นค่อนข้างสำคัญในเรื่องของการให้ผู้ใช้งานส่งเงินหากันได้โดยไม่มีตัวกลาง ระบบเน็ตเวิร์คนั้นจะต้องไม่สามารถถูกควบคุมโดยใครได้เลย
เหตุการณ์นี้ค่อนข้างที่จะใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่ระบบบัตรเครดิตและเดบิตได้เข้ามาแทนที่การใช้จ่ายด้วยเงินสดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อบริษัทฟินเทคหรือระบบการใช้จ่ายเงินที่ไม่มีธนาคารเป็นเจ้าของนั้นมีโอกาสที่จะเข้ามาแทนที่ระบบบัตรเครดิตและเดบิตได้ภายในอีกสิบปีข้างหน้า ถ้าหากเป็นเช่นนั้น บิทคอยก็จะเป็นตัวชูโรงที่จะเป็นตัวอย่างในแบบของการวางระบบเครือข่ายและความปลอดภัยทั้งหมดสำหรับผู้ใช้งานทั่วโลกที่สามารถที่จะส่งเงินหากันได้อย่างอิสระเสรีไม่มีตัวกลางมาคอยกวนใจ
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น