<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ยินดีต้อนรับสู่ยุคของ ICO ยุคที่การระดมทุนสร้างธุรกิจหลักพันล้านเสร็จสิ้นได้ในระดับวินาที

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ตอนนี้ startup ที่ใช้เทคโนโลยี บล็อกเชน กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่ง startup เหล่านี้ได้เปลี่ยนแนวทางที่เราคุ้นเคยอยู่ไป โดยสร้างวิธีใหม่ในการระดมทุนให้กับธุรกิจที่มีขนาดเล็ก รูปแบบใหม่นี้เรียกว่า Initial coin offering หรือ ICO โมเดลนี้ยังถูกเรียกอีกอย่างว่า “crowdsale” หรือ “token sale” (การระดมทุนโดยการขายเหรียญ) ICO เป็นโมเดล hybride ของการระดมหุ้น IPO ที่จะลดช่องว่างระหว่างผู้ลงทุนกับธุรกิจ (คล้ายๆ kickstarter) แทนที่เราจะได้หุ้นเราจะได้เป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ผูกกับธุรกิจ

เหรียญพวกนี้มีประโยชน์ในหลายๆด้านขึ้นอยู่กับว่าโมเดลธุรกิจ ในการซื้อเหรียญนี้โดนส่วนใหญ่ธุรกิจจะรับเป็นบิทคอยน์หรือ Ether ซึ่งธุรกิจะนำทุนที่ได้ไปเป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งวิธีนี้นั้นประสบความสำเร็จอย่างล้นเหลือ ไม่นานมานี้ Aragon ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่อนุญาติให้ผู้ใช้สร้างธุรกิจของตนเองได้ ระดนทุนไปถึง 25 ล้านดอลล่าใน 15 นาที และ  Basic Attention Token(BAT) ก็ระดมทุนได้ถึง 35 ล้านดอลล่าใน 24 วินาที

ICO จะมีกฏควบคุมได้อย่างไร ICO เป็นโมเดลที่ถูกกฏหมายมั้ย

 “ตอนนี้ยังไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า ICO นั้นถูกกฏหมายมั้ย”

กล่าวโดย Peter Van Valkenburgh จาก Coin Center ซึ่งตอนนี้บริษัทที่ไม่มุ่งหวังผลกำไรก็กำลังสนใจเกี่ยวกับประเด็นด้านนโยบายของเงินดิจิตอล

“ใครที่ก็ตามที่บอกคุณว่ามันถูกกฎหมายเค้าคงตอบคุณแบบขอไปทีหรือแค่สร้างสมมติฐาน หรือถ้าเค้าเป็นผู้พิพากษา เค้าก็คงเป็นผู้พิพากษาที่แย่มาก”

เรื่องกฏหมายกับ ICO นั้นตอนนี้ยังเป็นภาพสีเทาอยู่ เหรียญส่วนใหญ่ไม่ได้ปลอดภัยมากนั้นและบางทีก็ไม่ใช่สกุลเงินซะทีเดียวและอาจจะไม่ถูกยอมรับว่าเป็นการลงทุน เพราะเหรียญและเงินดิจิตอลตอนนี้ยังไม่ถูกจัดอยู่ในระดับเดียวกับสินทรัพย์ ซึ่งการยอมรับมันตอนนี้ยังไม่แน่นอน

Van Valkenburgh กล่าวว่า

“ICO ตอนนี้ยังจัดว่าอยู่ในส่วนที่ไม่มีกฏหมายรับรอง มันเป็นแค่ศัพย์ใหม่ที่ใช้อธิบายอะไรใหม่ๆ (เงินดิจิตอล) และกิจกรรมใหม่ๆ (การระดมทุนขายเหรียญ)”

ซึ่งตอนนี้ ICO ก็ยังไม่มีข้อสรุปในอเมริกา แต่มันยังมีโอกาสที่จะมีกฏหมายสำหรับเทคโนโลยีเหล่านี้ ซึ่งระบบที่จะมาตรวจสอบธุรกรรมต่างๆด้านความปลอดภัยนั้นเรียกว่า Howey Test โดยผู้วินิจฉัยจากอเมริกาซึ่งการทดสอบนี้จะนำมาใช้กับเงินดิจิตอลและเหรียญต่างๆว่าจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ซึงน่าสนใจมากว่าผู้ที่รับรองเหรียญจะต้องปฎิบัติตามพระราชบัญญิติหลักทรัพย์ปี 1933 และ 1934  หรือไม่

การที่ไม่มีกฏหมายข้อบังคับแน่นอนสำหรับ ICO โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอเมริกา ทำให้วิธีนี้ถูกจำกัดในวงแคบๆ เช่นแวดวง Blockchain ไปจนถึงผู้ลงทุนที่ถูกขึ้นบัญชีดำก็ได้เริมการระดมทุนของตัวเองในสวิตเซอแลนด์หรือสิงคโปร์ ในขณะที่รัฐบาลได้จำกัดว่าเงินดิจิตอลนั้นไม่ปลอดภัย

อับดับผู้ที่ระดมทุน ICO  

อย่างไรก็ตามการระดมทุน ICO ก็เกิดขึ้นจริง ICO ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นโมเดลที่สามารถระดมทุนมหาศาลได้ในเวลาอันสั้น และนี่คือรายชื่อโปรเจคที่ระดมทุนโยใช้ ICO และมีการขายเหรียญ 

Note: 7 ใน 10 ของรายการนั้นเป็นโปรเจค ICO ที่ในระหว่างสามเดือนที่ผ่านมา ซึ่งอัตตราระหว่างดอลล่า BTC และ ETH คิดจากตอนที่ระดมทุน ICO

การลงทุน ICO นั้นสะท้อนให้เห็นถึงว่าผู้ลงทุนสามารถเลือกโปรเจคที่อยากลงทุนได้อย่างอิสระ และนี่เป็นรายการโปรเจคต่างๆที่มีการระดมทุนในอดีต และบางโปรเจคน่าจะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต

แพลตฟอร์มบล็อกเชนย์ที่ไม่มีตัวกลาง (Decentralize Blockchain Platform)

 

Ethereum

บางทีมันอาจจะเป็น ICO ที่รู้จักกันมากที่สุดในตอนนี้ Ethereum ระดมทุนได้ถึง 18 ล้านดอลล่าในปี 2014 และ Ethereum blockchain ยังเปิดตัว smart contract platform ที่ใช้เพลิงเป็นเงินดิจิตอลที่เรียกว่า ether

ผู้ที่คิดค้นและผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum คือ Vitalik Buterin ได้อธิบายคอนเซปต์ว่า “Ethereum ไม่ได้มุ่งหวังจะเป็นเหมือนมีดพก Swiss ที่สามารถทำได้เป็นร้อยอย่าง แต่ Ethereum มุ่งหวังจะเป็น protocal ที่ดีที่สุด และอนุญาติให้เงินดิจิตอลสกุลอื่นๆสร้างระบบโดยใช้ Ethereum เป็นฐานแทนที่จะเป็นบิทคอยน์ ซึ่งจะทำให้พวกเขามีอุปกรณ์ช่วยในการพัฒนาและได้ประโยชน์จากความสามารถของ Ethereum”

การลงทุน ICO กับ Ethereum  เป็นน่ายกย่องในหลายๆเหตุผล มันเป็นโปรเจค ICO ที่ประสบความสำเร็จและเป็นตัวอย่างให้กับโปรเจคต์อื่นๆตามและมันยังสร้าง Ethereum blockchain platform ซึ่งทำให้แอปพลิเคชั่นแบบ decentralized  (DApps) และโปรเจคต่างๆพัฒนาโดยใช้มันเป็นพื้นฐาน

Golem

Golem นั้นต้องการมุ่งเป้าจะเป็น ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนย์ บนบล็อกของ Golem ผู้ร่วมก่อตั้ง Julian Zawistowski กล่าวว่า Golem เป็นเสมือน “ Airbnb สำหรับคอมพิวเตอร์” ซึ่ง Golem จะขอให้ผู้ใช้ให้ยืม  “CPU และ GPU ที่ไม่ใช้แล้วและจ่ายเป็นเงินดิจิตอล” และมันจะสร้าง “ พลังที่แท้จริงของ decentralized network  ที่เป็น cloud computing

ในเดือนพฤษจิกายน  2016 golem ได้เปิดตัว ICO ในลักษณะ  “crowdfunding campaign” และระดมทุนไปได้ถึง 820,000 ETH ซึ้งในเวลาที่มี ICO  ETH ตอนนั้นมีมูลค่า 8.6 ล้านดอล  ซึ่งในปัจจุบันมีค่าถึง 165 ล้านดอล ซึ่งในด้วย 1 ETH ผู้ลงทุนจะได้รับ 1000  Golem หรือ GNT ซึ่งเหรียญจะใช้เป็นตัวกลางในการซื้อพลังประมวลผลใน network ข้อมูลจาก  CoinMarketCap บอกว่า GNT ตอนนี้มีวอลุ่มภึง 350 ล้านดอล

Qtum

Qtum หรือ Quantum ซึ่งเป็น Turing-complete blockchain stack ที่มีความสามารถของ smart contract ซึ่งผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมันคือการพัฒนาโปรโตคอลแบบ proof-of-stake  ซึ่งตรงข้ามกับบิทคอยน์กับ Ethereum ที่ใช้โปรโตคอลแบบ proof-of-work ที่ใช้พลังงานมาก

Qtum ได้เปิดตัวเวอชั่นทดสอบมาเป็นเวลานานแล้วค่อยตัดสินใจระดมทุนในวันที่ 21 มีนาคม และระดมทุนได้ถึง 15 ล้านดอลใน 5 วัน โดยผู้ซื้อจะได้รับ 115 QTUM ต่อ 1 ETH ซึ่งเงินทุนจะใช้ในการพัฒนาระบบหลักและการอัพเกรด

แพลตฟอร์มสำหรับลงทุน (Investment Platforms )

 

The DAO

The DAO เป็นการระดมทุนที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดเท่าที่ผ่านมา แม้ว่าผู้เขียน white paper จะเป็นหัวหน้านักพัฒนาของโครงการ smart contract Christoph Jentzsch ได้กล่าวว่า

“The DAO ไม่ใช่ ICO มันคือการสร้างองกรณ์ที่ไม่มีศูนย์กลางค่อนข้างคล้ายกับบริษัท”

เขากล่าวกับ  Bitcoin Magazine ว่า 

“มันไม่มีผู้ขาย ผู้ลงทุนจะควบคุมเงินของเขาเอง คล้ายๆการรวมตัวของบัญชีธนาคาร”

หรือในทางกลับกัน The DAO ขายความเป็นเจ้าของให้แก่คนทั่วไปและระดมทุนโดยใช้ ether และ ether เปล่านั้นจะใช้เป็นเงินทุนในการพัฒนาโปรเจค ซึ่งผู้ลงทุนมองว่าเหรียญ DAO นั้นคุ้มค่าสำหรับการลงทุน

เบื้องหลังโปรเจค The DAO แม้จะมีข้อผิดพลาดใน smart contract เกิดขึ้นในองกรณ์อิสระนี้ ผู้คนที่ซื้อ DAO token ก็ได้มีทางเลือกในการโหวตว่า The DAO จะทำยังไงต่อกับกับทรัพยากรณ์ที่เหลืออยู่รวมถึงโปรเจคและสัญญา Jentzsch กล่าวว่า

“ผู้คนจ่าย ETH ให้กับเราและรับ DAO ไปซึ่งนั้นควรจะทำให้พวกเขามีสิทธิที่จะโหวตว่าจะทำอย่างไรกับ ETH”  

ซึ่งเป็นแนวทางว่าผู้ถือเหรียญนั้นจะถือส่วนกำไรของเงินปันผลขององกรณ์ด้วย

มันคงไม่มีอะไรดีกว่าการแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของโปรเจคเป็นอย่างไร ซึ่งพวกเขาก็พยายามแสดงวิสัยทัศน์ของโครงการนี้ “การวางแผนทั้งหมดถูกเผยแพร่ใน The DAO Slack และชุมชน DAOhubs” กล่าวโดย Jentzsch การประชาสัมพันธ์ส่วนใหญ่ใช้ช่องทาง Social media , ผู้มีส่วนร่วม หรือใครก็ตามที่ชอบแนวคิดนี้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน DAO Slack)

หลังจากผ่านอุปสรรคมาได้ The DAO ระดมทุนได้ถึง 12.07 ล้าน ether (ETH) ในฤดุร้อนปี 2016 ซึ่งเป็นปริมาณ 14% ของ ETH ที่มีทั้งหมดที่มีในตอนนั้นและมีค่าถึง 155 ล้านดอลในเวลานั้น

หลังจากประสบความสำเร็จในการขายเหรียญ การประชาสัมพันธ์ที่มากเกินไปทำให้เกิดอุปสรรคอย่างนึงคือ มันกลายเป็นเป้าหมายของ Hacker ซึ่งมันก็ได้เกิดขึ้นมี Hacker รู้ว่าถ้าหาช่องโหว่ในระบบได้มันจะทำเงินมหาศาลให้ตัว Hacker และมันก็มีช่องโหว่จริงๆและ Hacker เป็นคนแรกที่เจอและขโมยไป ether จากระบบไปถึง 3.5 ล้าน ether ซึ่งมันทำให้เกิดกรณี Ethereum Hard Fork ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ Ethereum Classic

BCAP

BCAP เป็นโปรเจคที่เป็นระบบทุนนิยมโดย  Blockchain Capital หรือ BCAP นั้นมุ่งเป้าที่จะสนับสนุนุเงินทุนแก่โครงการต่างๆในเวทีดิจิตอล

Brock Pierce หุ้นส่วนผู้จัดการของ Blockchain Capital พูดถึงเป้าหมายว่า “จะให้บริการแก่นักลงทุนทั่วโลกให้สามารถลงทุนในกองทุนชั้นนำที่ซื้อขายเงินดิจิตอล” ซึ่งเงินดิจิตอลเป็นแค่ส่วนนึง ในทางกลับกันมันยังสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วย กองทุนรวมเงินดิจิตอลแห่งแรก (First Digital Liquid Venture Fund) BCAP

พอร์ทของ BCAP นั้นน่าทึ่งมาก ด้วยการลงทุนกับยักษ์ใหญ่อย่าง Coinbase, Bitfury, Ripple และ ShapeShift BCAP จึงอยู่ในจุดที่เผลักดันนวัตกรรมใน infrastructure ของเทคโนโลยีบล็อกเชนย์

การขายเหรียญของ BCAP นั้นทำยอกที่ตั้งไว้ที่ 10 ล้านดอลใน 6 ชั่วโมงเมื่อเดือนเมษายนปี 2017

Digix

Digix DAO เป็งองกรณ์แรกที่ใช้ Ethereum รูปแบบ decentralized autonomous ที่ระดมทุน ICO ครั้งแรก Digix ใช้เงินดิจิตอลสองสกุลในการขับเคลื่อนคือ DGX และ DGD แต่เฉพาะ DGD เท่านั้นที่มีขายใน ICO ส่วน DGX จะเป็นแค่หลักฐานในการเป็นเจ้าของซึ่งสัดส่วนเพียง 1 ในร้อยเท่านั้นซึ่งมาตรฐานนี้ถูกดำเนินการโดย Digix ซึ่ง DGD จะให้ผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าธรรมเนียมการทำธุกรรมของ DGX

Etherscan บอกว่าการระดมทุน DGD ระดมทุนได้ถึง 465,135 ETH ซึ่งมีค่า 5.5 ล้านดอลล่าและมีค่าถึง 100 ล้านดอลล่าในปัจุบัน

ตลาดคาดคะเน (Prediction Markets)

 

Augur

Augur ได้เปิดระดมทุน ICO ในเดือนกรกฎาคม 2015 ซึ่งฟังชั่นของมันคือเป็น decentralized platform สำหรับตลาดการคาดคะเน ด้วยการตลาดที่ไม่มีศูนย์กลางมันจะอนุญาติให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงและสร้างเครื่องมือสำหรับคาดคะเนที่มีความถูกต้องมากขึ้นด้วยผู้คนหลากประเภทที่ลงทุนในการคาดคะเนของพวกเขา ซึ่งทำให้เทคโนโลยีของ Augur อนุญาติให้ใครก็ตามสร้างตลาดคาดคะเนของตัวเองจากความคิดของพวกเขา

“วิธีดังเดิมในตลาดคาดคะเนอาจจะผิดพลาดได้เพราะพวกเขาต้องการหลายสิ่งอย่างมากในการสร้างเครื่องมือคาดคะเน”

กล่าวโดย Jeremy Gardner ผู้ร่วมก่อตั้งของ Augur

“ด้วยแพลตฟอร์มตลาดคาดคะเนที่มีฐานจากบล็อกเชนย์จะทำให้ใครก็ตามเข้า Auger ถึงเพียงแค่มีอินเทอร์เนต”

ความแตกต่างที่สำคัญคือ Augur ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตลาดการคาดคะเนมันยังเป็น open source ที่ตลาดอื่นสามารถนำไปพัฒนาต่อได้

การขายเหรียญของ Augur ใช้รูปแบบการขายแบบ “live-action” ซึ่งการซื้อเหรียญนั้นจะแสดงให้เห็นแบบ real time จำนวนเหรียญที่ผู้ลงทุนได้จะขึ้นกับว่าพวกเขาลงทุนไปกี่เปอร์เซ็นต์ของทุนที่ระดมได้และเขาซื้อมันเร็วแค่ไหน

ในการขายเหรียญ Auger ยังขายเหรียญระดับชั้น (Reputation Tokens) หรือ REP ซึ่งมันไม่จำเป็นสำหรับสร้างการคาดคะเนบนตลาด Angur แต่ผู้ถือ REP จะเป็นผู้รายงานผลลัพท์ของเหตุการณ์ต่างบนๆ Angur ทุกๆสองสามอาทิตย์ ซึ่งผู้ที่รายงานผลที่ไม่ถูกต้องจะถูกริบ REP บางส่วนและจะกระจายไปยังผู้ที่รายงานถูกถูก

Gnosis

Gnosis แพลตฟอร์มที่สามารถสร้างตลาดคาดคะเนและเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Augur อย่างไรก็ตาม ICO และโมเดลธุรกิจของ Gnosis ก็มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัด ราคาเหรียญของ Gnosis ที่ระดมทุน ICO นั้นใช้หลักการประมูลแบบลดมูลค่าหรือที่เรียกว่า “Dutch auction” ซึ่งวิธีนี้ผู้ซื้อจะกำหนดราคาสูงสุดที่เค้าต้องการจะซื้อเหรียญ GNO แต่สุดท้ายทุกๆคนจะต้องจ่ายในราคาในราคาสุดท้ายไม่ว่าพวกเค้าจะกำหนดราคาที่ต่ำหรือเท่ากัน

ต่างจาก REP ของ Augur เหรียญ GNO จะไม่เกี่ยวข้องใดๆกับแพลตฟอร์ม Gnosis ในทางกลับกันผู้ถือ GNO จะใช้มันเป็น IOU หรือ WIZ ซึ่งสามารถใช้จ่ายค่าธรรมเนียมของแพลตฟอร์ม Gnosis 

ตาม white paper ของ Gnosis เหรียญ WIZ จะเป็นตัวกลางในการจ่ายเงินสำหรับ GnosisPremium แพลตฟอร์มนี้จะได้รับการสนับสนุนจากนักพัฒนารวมถึงสามารถปรับแต่งอุปกรณ์และความสามารถอื่นๆในระดับ premium Gnosis ยังมีฟรีแพลตฟอร์มที่เรียกว่า GnosisBasic ซึ่งไม่มีนักพัฒนาสนับสนุนและมีอินเทอร์เฟสน้อยกว่า

แพลตฟอร์มสื่อ (Media token)

 

Kik

Kik เข้าสู่วงการเงินดิจิตอลเมื่อไม่นานมานี้โดนประกาศว่าจะมีเงินดิจิตอลของตัวเองชื่อว่า Kin ซึ่งการประกาศนี้อาจจะเป็นสัญญาณว่าจะเป็นเข้าสู่แบบการใช้เงินดิจิตอลเป็นหลัก Kik ตอนนี้มีผู้ใช้ถึง 300 ล้านคน ซึ่ง 40 เปอร์เซ็นนั้นเป็นวัยรุ่นอเมริกา ถึงแม้ว่า Kik จะมีผู้จำนวนมากมันก็ยังยากที่จะสร้างรายได้จากการบริการของเขา และยิ่งถ้าเทียบกับ social media ยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook และ Twitter ที่ได้รายได้จากการโฆษณา

“ผลลัพตอนนี้คือมันยากมากที่จะสร้างรายได้จากการบริการนี้”

Ted Livingston ผู้บริหารสูงสุดของ Kik กล่าวกับ Bitcoin Magazine ในการสัมภาษณ์ว่า

“ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ในวงการกันไปใช้วิธีการคัดลอกและพุ่งชน (copy and crush) ซึ่งดึงไอเดียทั้งหมดจากผู้เล่นคนอื่นๆไป ลอกมันและใช้ทรัพยากรณ์ที่มีมากกว่าชนผู้แข่งคนอื่นที่สร้างออกไป”

เหรียญ KIn นั้นจะนำมาใช้ได้หลายๆด้านในหลายๆองกรณ์รวมถึง Kik โดยมุ่งเป้าที่จะสร้างรูปแบบการใช้งานแบบดิจิตอลโดยมีฐานจากเงินดิจิตอล อ้างอิงจาก white paper ของ Kin มีการคาดการอยู่แล้วว่าจะมีการใช้เหรียญบน Kik app ซึ่งรวมถึงกรุ๊ปแชท VIP ที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่สามารถจ่ายด้วย kin ได้ในการเข้าสู่ระดับ premium สร้างคอนเท้นต์โดยใช้ Kin อนญาติให้ผู้ใช้ Hight light ข้อความในกลุ่มโดยมีค่าใช้จ่ายและอื่นๆอีกมากมาย

Kik มีแผนจะขาย 1 พันล้านเหรียญในการระดมทุน ICO โดยยังไม่ได้กำหนดว่าจะเริ่มเมื่อไหร่

Poet

Poet เป็นชื่อสั้นๆของ Proof of Existence 2.0 (การพิสูจน์การคงอยู่) ซึ่งคือการแชร์บัญชีและแพลตฟอร์มถูกออกแบบสำหรับการเก็บความเป็นเจ้าของและข้อมูลเมต้าของงานโฆษณาดิจิตอล Poet จะอนุญาติให้ผู้ใช้สร้างใบรับรองความเป็นเจ้าของสำหรับคอนเท้นของงานดิจิตอล ตรวจสอบลิขสิทธิ์คอนเท้นผ่านเวบไซต์บนบล็อกเชนย์ หาคอนเท้นใหม่ๆ ตรวจสอบความถูกต้องและการอนุญาติการใช้งานคอนเท้น 

Poet เป็นการพัฒนา Proof of Existence (การพิสูจน์การคงอยู่)  ซึ่งเป็นตำอย่างแรกของใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนย์ที่ไม่เกี่ยวกับการเงิน

หัวหน้าหน้าฝายพัฒนาธุรกิจของ Poet Konstantin Richter กล่าวว่า

“ Poet จะเชื่อมคอนเท้นต์ลงสู่ฐานข้อมูลความเป็นเจ้าของทั่วโลก โดยให้ผู้สร้างดูแลข้อมูลของตัวเอง Poet สามารถใช้เป็นระบบบันทึกข้อมูลได้ โดยใช้เป็นตัวกลางในชำระค่าจดลิทสิทธิ และอำนวยความสะดวกรูปแบบการจ่ายเงินสำหรับการจดลิขสิทธิต่างๆรวมถึงขอบเขตและรูปแบบของเนื้อหา ซึงจะนำความยุ่งยากในการจดทะเบียนที่ซับซ้อนออกไปและทำให้มันเป็นจริงได้ “

ประโยชน์ของแพลตฟอร์ม Poet คือการที่นักพัฒนาสามารถใช้แคตตาล็อคของ Poet ทำให้เกิดบริการใหม่ๆ และเพิ่มคุณค่าของมันโดยใส่เหรียญ Poet ลงไปในเน็ตเวิร์ค

การระดมทุนของ Poet ถูกวางแผนไว้ในเดือนสิงหาคม 2017 ที่กำลังจะถึงนี้และมีเป้าหมายอยู่ที่ 10 ล้านดอลซึ่งเหรียญที่จะถูกปล่อยออกมามีจำนวนถึง  51% จากเหรียญทั้งหมด 3,141,592,653 เหรียญ ส่วนเหรียญที่เหลือจะถูกแบ่งให้ มูลนิธิ Poet นักลงทุนอิสระ คู่ค้า และทีมผู้ก่อตั้ง 

Poet นั้นคล้ายกับ  Mediachain ซึ่งถูกซื้อไปโดน Sportify ถึงแม้จะมีความคล้ายคลึงกัน Poet เชื่อว่า Open source community จะเป็นอนาคตของนวัตกรรมบล็อกเชนย์

Brave

Brave เป็น Browser ตัวใหม่ที่อยู่บนฐานของเทคโนโลยีบล็อกเชนย์สร้างโดย  Brendan Eich ผู้คิดค้น Javascript และผู้บริหารสูงสุดของ Mozilla จาดข้อมูในเวปต์ไซต์

Brave มุ่งเป้าที่จะเปลี่ยนระบบโฆษณาออนไลน์ด้วย micropayment และทำให้การแบ่งปันรายได้ระหว่างผู้ใช้งานและผู้โฆษณามีข้อตกลงร่วมกันที่ดีขึ้น ด้วย Browser ที่รวดเร็วปลอดภัยและมีอนาคตที่สดในในการท่องเวปไซต์”

ในวันที่ 31 พฤกษภาคม Brave ได้ขายเหรียญของตัวเองที่ชื่อว่า Basic Attention Token หรือ (BAT) ซึ่งเหรียญนี้จะใช้สำหรับ micropayment ระหว่างผู้โฆษณาและผู้ใช้ BAT ได้รับการสนับสนุนอย่างมากในการระดมทุนซึ่งสามารถระดมทุนได้ถึง 35 ล้านดอลในไม่ถึง 30 วินาที

คำเตือน 

JP Koning ได้เตือนถึงว่าเมื่อปี 2013 เขาได้เขียนบทความเกี่ยวกับ Top-10 ของวงการเงินดิจิตอลซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่มันไม่ได้อยู่ใน Top-10 อีกแล้ว

การกระเตื้องขึ้นของ ICO นั้นเกิดขึ้นจริงและกำลังเติบโต แต่ในขณะเดียวกันมันก็อาจจะอยู่หน้าเหวก็เป็นได้ มันมีความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลวในโลกของการเงินดิจิตอล เพราะเหตุนี้ เราจึงควรระมัดระวังกับมันไว้ให้ดี ศึกษา ICO ที่แตกต่างกันให้ดีก่อนจะตัดสินใจว่าจะลงทุนหรือไม่ หลายๆครั้งการสนใจว่าทีมที่พัฒนาเป็นใครนั้นอาจจะสำคัญกว่าไอเดียที่พวกเค้าสร้าง

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น