<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

SEC กำลังมองหาช่องทางในการทำให้ ICO ถูกกฎหมาย

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

US Securities and Exchange Commission หรือ SEC กำลังให้ความสนใจในธุรกิจเกี่ยวกับ Blockchain และกำลังมองหาช่องทางในการขึ้นกฎหมายการลงทุนแบบ ICO

สืบเนื่องมาจากการที่มีบริษัทสตาร์ทอัพทางด้าน Blockchain ที่เรียกระดมทุนผ่าน ICO แบบโผล่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Blockchain กังวลว่าการาดซึ่งความโปร่งใสทางด้านการออกเหรียญให้กับนักลงทุนอาจจะเป็นอันตรายให้กับนักลงทุน และอาจจะส่งผลให้รัฐบาลขึ้นบัญชีแดง ICO ก็เป็นได้

อ้างอิงจากสำนักข่าวรอยเตอร์ นั้น เป็นที่พูดกันว่าทาง SEC กำลังจับตามองตลาดการขายเหรียญ ICO ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในเดือนที่ผ่านมา

ด้วยความที่มันจับต้องไม่ได้นั้น ICO อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงินได้ ซึ่งอาจส่งผลให้รัฐบาลต้องกระโดดเข้ามาควบคุมอย่างจริงจัง

เพิ่มความท้าทายให้กับผู้ออกกฎหมาย

ปัญหาที่ทางผู้ออกกฎหมายต้องออกมาแก้ไขนั้นคือลักษณะการดำเนินธุรกิจของบริษัทเหล่านี้ ด้วยความที่พวกเขามีลักษณะเป็นแบบกระจาย (Decentralized) นั่นหมายความว่าไม่สามารถมีใครมาควบคุมเหรียญที่พวกเขาทำออกมาได้ เนื่องจากกฎหมายในสหรัฐฯปัจจุบันสามารถควบคุมได้แค่ผู้ให้บริการกระเป๋าเหรียญคริปโตและเว็บผู้ให้บริการแลกเปลี่ยน

ปัญหาของผู้ออกกฎหมาย ตัวเหรียญหรือว่าระบบความปลอดภัยของมัน?

เมื่อปี 2014 นาง Janet Yellen หรือสมาชิกบอร์ดของ Federal Reserve ได้ออกมาไขความกระจ่างที่ทุกคนสงสัย โดยบอกว่าทาง FED นั้นไม่มีอำนาจที่จะตัดสิน Bitcoin ได้

“ทาง Federal Reserve นั้นเอาง่ายๆเลย ไม่มีอำนาจที่จะออกกฎหมายมาควบคุม Bitcoin ได้เลย เท่าที่ฉันรู้นะ ทางธนาคารกับ Bitcoin นั้นไม่มีอะไรเกี่ยวโยงกันเลย ดังนั้นทาง Federal Reserve ยังไงก็ออกมาควบคุม Bitcoin ไม่ได้อยู่แล้ว”

ทาง SEC ยังไม่แน่ใจว่าจะควบคุม Bitcoin กับ ICO อย่างไรดี

กฎหมายว่าด้วยความปลอดภัยฉบับร่างปี 1933 และกฎหมายว่าด้วยการแลกเปลี่ยนฉบับร่างปี 1934 ของสหรัฐฯนั้นได้ระบุถึงสโคปแบบกว้างๆที่กฎหมายนั้นครอบคลุม โดยประกอบไปด้วย หุ้น, บอนด์, ฟิวเจอร์, สแวป, สัญญาด้านการลงทุน และอื่นๆอีกมากมาย โดยเนื่องมาจากการที่มันไม่มีกฎข้อไหนที่กล่าวเกี่ยวกับการดูแล Bitcoin และ Blockchain ทำให้ทาง SEC ตัดสินใจบังคับให้บริษัทใดก็แล้วแต่ที่มีการใช้เทคโนโลยี blockchain สำหรับการเทรดซื้อขายนั้น จะต้องทำการไปขึ้นทะเบียนว่าเป็นผู้ให้บริการเทรดและแลกเปลี่ยน หรือเป็น Alternative Trading System (ATS) หรือเป็นโบรคเกอร์

โดยข้อกฎหมาย Section 3(a)(1) ที่ว่าด้วยการเทรดและแลกเปลี่ยนนั้น ได้ให้คำจำกัดความ “แลกเปลี่ยน” ว่า

“องค์กร, กลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง, กลุ่มบุคคล ใดก็แล้วแต่ทั้งที่เป็นบริษัทจำกัดหรือแบบไม่จำกัดที่ให้บริการ, เป็นเจ้าของ หรือควบคุมตลาด หรือให้อำนวยความสะดวกกับผู้ซื้อและผู้ขายให้มาทำการซื้อขายสินทรัพย์ หรือหุ้นกัน โดยคำเรียกนี้จะเป็นที่เข้าใจกัน โดยจะจะนับเอาตลาด และรวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้บริการโดยผู้แลกเปลี่ยนด้วย”

ข้อกฎหมายว่าด้วยการแลกเปลี่ยนในส่วน 3b-16(a) นั้นก็ได้กล่าวถึงองค์กร, กลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง, กลุ่มบุคคล ใดก็แล้วแต่ที่ (1) เป็นผู้จัดการคำสั่งซื้อขายหลายๆคำสั่งจากผู้ซื้อและผู้ขาย และ (2) ใช้วิธีการในการให้บริการแบบใดก็แล้วแต่ (ไม่ว่าจะเป็นการเปิดสถานที่ให้มีการซื้อขาย หรือการสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมา) ที่ทำให้คำสั่งซื้อขายนั้นมีปฏิสัมพันธ์กัน และผู้ซื้อผู้ขายที่ทำการซื้อขายกันนั้น จะต้องยอมรับข้อตกลงในการซื้อขาย

ดังนั้น นั่นหมายความว่าระบบเทคโนโลยี Blockchain นำพาผู้ซื้อและผู้ขายมามีปฏิสัมพันธ์กัน ในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตอลที่เป็นหลักทรัพย์ โดยระบบซื้อขายนั้นอาจจะต้องถูกนำไปขึ้นทะเบียนให้เป็น กระดานแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ เว้นแต่ว่ามันจะไม่ได้ตกอยู่ในกฎข้อบังคับเหล่านั้น

การจะถูกเรียกว่าเป็นหลักทรัพย์ได้นั้น ทางบริษัทที่มีเหรียญ cryptocurrencies ไว้ในครอบครองจะต้องยื่นแขร์ ยกตัวอย่างเช่น SEC สั่งปิดบริษัท BTC Trading, Corp และ Ethan Burnside เป็นการเฉพาะเจาะจงเนื่องจากทางบริษัทอนุญาตให้ลูกค้าซื้อหุ้นเป็นสกุลเงินดิจิตอลได้ โดยบริษัทดังกล่าวทำผิดกฎข้อ 5 และ 15(a) ว่าด้วยการแลกเปลี่ยน ในการที่ไม่จดทะเบียนบริษัทให้เป็นโบรคเกอร์ หรือผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์

นักเขียนของนิตยสาร Fortune นามว่า John Roberts กล่าวว่า

“แม้ว่า ICO ที่ถูกต้องตามกฎหมายและฟังดูน่าเชื่อถือแล้วนั้น อาจจะส่งผลร้ายให้กับผู้ออกเหรียญเหล่านั้นได้ คำว่า “เหรียญ” นั้นสามารถที่จะมีลักษณะเหมือนกับหลักทรัพย์แบบทั่วไปในทางกฎหมายได้ เพราะมันทำให้บริษัทสามารถนำเงินของนักลงทุนมาเก็บไว้ พร้อมกับทำกำไรไปด้วยพร้อมๆกัน  และทำการขายหลักทรัพย์อย่างผิดกฎหมายโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก SEC”

ในขณะที่ ICO ยังถูกซื้อขายกันอย่างอิสระโดยไม่มีรัฐบาลเข้ามาควบคุมนั้น ตอนนี้มันก็คงเป็นเรื่องของเวลาที่วันดีคืนดีทาง SEC อาจจะประกาศออกกฎหมายมาควบคุม ICO ที่อาจจะส่งผลให้บริษัททางด้าน Blockchain หลายบริษัทต้องหยุดชะงักไปเลยก็ได้