ผู้คนส่วนใหญ่ที่กำลังถือ Bitcoin นั้นคงจะได้รู้ถึงความผันผวนของตลาดของเหรียญดังกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการเตรียมตัวการเปิดใช้ SegWit ในวันที่ 1 สิงหาคมที่จะถึงนี้
ซึ่งหากเรามาลองดูให้ดีแล้วนั้น ราคาของ Bitcoin ได้ตกลงมาจากจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ของเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาจากราคา 3,000 ดอลลาร์ ซึ่งการตกดังกล่าวคิดเป็นราวๆ 40% เลยทีเดียว ผู้ใช้งาน Bitcoin ส่วนใหญ่อาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการดีเบตการ scaling ของ Bitcoin มาแล้ว ซึ่งเป็นการโต้เถียงกันเพื่อหยิบยก solution การแก้ปัญหาการโอน Bitcoin หากันช้าของตัวเองมาเสนอและแข่งกันว่าของใครตะดีกว่ากัน
โดยปกติแล้ว บล็อกของ Bitcoin แต่ละบล็อกจะใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีในการขุดและเพิ่มเข้าไปใน blockchain แต่เมื่อไม่นานมานี้ธุรกรรมมักจะใช้เวลานานในการโอน ซึ่งนานกว่า 10 นาทีกว่าจะได้ทำการ confirm เนื่องจากผู้ใช้งานที่เริ่มเพิ่มมากขึ้น ทำให้ธุรกรรมก็เยอะมากขึ้นตาม
สาเหตุหลักๆอีกข้อหนึ่งก็คือขนาด block ของ Bitcoin แต่ละบล็อกนั้นมีขนาดเพียงแค่ 1MB ซึ่งนั่นหมายความว่ามันสามารถเก็บบันทึกธุรกรรมได้ราวๆ 2,000 ธุรกรรมต่อบล็อกเท่านั้น
โดย SegWit หรือ Segregated Witness นั้นเป็นโซลูชันที่หลายๆคนเชื่อว่าจะมาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ ซึ่งความสามารถของมันก็คือช่วยจัดการธุรกรรมของมันให้พอดีกับขนาดของบล็อกแต่ละบล็อก โดยนั่นหมายความว่าภายใน 1MB ของแต่ละบล็อกนั้นจะสามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น
ส่วน SegWit2x นั้นก็เหมือนกับ SegWit ทุกอย่าง เพียงแต่มันจะเพิ่มขนาด Block ให้เป็น 2MB ด้วย นั่นหมายความว่าการเก็บข้อมูลธุรกรรมจะสามารถเก็บได้ถึง 8,000 ธุรกรรมต่อบล็อกเลยทีเดียว
SegWit นั้นจะถูกเปิดใช้งานในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ผ่านโคด BIP 148 ในขณะที่ SegWit2x นั้นก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามันจะถูกคอนเฟิ์รมติดตั้งเช่นกัน แม้ว่าในตอนนี้มี pool นักขุดเปิดสัญญาณ BIP 91 ที่ใช้สำหรับการ lock in การสนับสนุน SegWit2x แล้ว 79.3%(ณ เวลาที่รายงานข่าวอยู่นี้)
ทว่าการอัพเกรดดังกล่าวนั้นต้องมีการทำ Hard fork เกิดขึ้น
การ hard fork นั้นหมายถึงการไม่ลงรอยกันในโปรเจคการพัฒนาของงานระหว่างภายในทีมนักพัฒนา ทำให้ต้องแตกแยกตัวเองออกไปเป็นเส้นสายอื่นๆ (เหมือนกับส้อมที่มีซี่หลายสาย) ซึ่งในกรณีนี้อาจจะเหมือนกับของ Ethereum ที่เคย hard fork ไปแล้วเมื่อปี 2016 โดยแตกแยกออกมาเป็น Ethereum และ Ethereum Classic แบบที่เราหลายๆคนทราบกันดี
ดังนั้นหลายๆคนอาจจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้มีนักลงทุนหลายคนรุมขาย Bitcoin ด้วยความกลัวหลังจาก Bitcoin.org ออกมาประกาศว่าอาจเกิดการ split ในอนาคต โดยส่งผลให้ราคา Bitcoin ร่วงลงมาอย่างรุนแรง
ข้อดีของ SegWit2x
แม้ว่าหาก Bitcoin นั้นต้องถูกแยกออกมาเป็นสองเหรียญจริงๆนั้น แต่มันก็มีเหตุผลหลักๆอยู่สามข้อที่เราไม่จำเป็นต้องไปกังวลกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
- SegWit2x นั้นจะช่วยพัฒนาระบบของ Bitcoin ให้ดีขึ้น เพราะมันสามารถทำให้การทำธุรกรรมนั้นเป็นไปด้วยความเร็วมากขึ้น และมีค่าธรรมเนียมที่น้อยลง รวมถึงการเพิ่มขนาดบล็อกนั้นจะทำให้มันสามารถรองรับธุรกรรมได้มากขึ้นภายในเวลาที่น้อยลง และค่าธรรมเนียมนั้นก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก
- ก่อนหน้านี้ Ethereum รอดตายมาจากการ fork ของ The DAO มาได้ และกลายเป็นเหรียญที่ใหญ่อันดับสองของโลกรองจาก Bitcoin ซึ่งมันก็เป็นตัวอย่างที่มีมาให้เห็นแล้วว่า Bitcoin ก็อาจจะเป็นแบบนั้นเช่นกัน โดยมีการเพิ่มขึ้นทั้งราคาและมูลค่าตลาดรวม หากลองย้อนไปก่อนที่ ETH จะถูก fork นั้น มูลค่าของมันมีอยู๋แค่ 10 ดอลลาร์เท่านั้น แต่ลองดูตอนนี้สิ ราคาของมันเพิ่งจะแตะจุด ATH ที่ 400 ดอลลาร์เมื่อไม่นานมานี้
- SegWit นั้นได้ถูกทดสอบบน Litecoin แล้ว และค้นพบว่าไม่มีปัญหาอะไร
โดยก่อนหน้านี้ Litecoin นั้นเปิดใช้ SegWit ไปเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2017 ณ ที่บล็อก 1201536 โดยการอัพเกรดนั้นถูกเสนอโดยทีมนักพัฒนา Bitcoin Core และติดตั้งด้วยการ soft fork
ก่อนหน้านี้ Litecoin มีอายุราวๆเกือบเท่า Bitcoin แต่มีราคาอยู่ที่ราวๆ 5 ดอลลาร์ต่อ 1 LTC เท่านั้น แต่หลังจากอัพเกรด SegWit แล้วราคานั้นก็ได้พุ่งทะลุ 50 ดอลลาร์ โดยตอนนี้มันถูกซื้อขายอยู่ที่ 41.62 ดอลลาร์
อนึ่ง ทางผู้เขียนมีความเห็นส่วนตัวว่าถ้าหากจะมีการพัฒนาอะไรไปให้ได้แบบก้าวกระโดดนั้น จะต้องมีการเสียสละเกิดขึ้น ซึ่งสงครามการดีเบตของทั้งสองฝ่ายตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผลการ scaling ของ Bitcoin ต่อไปอีกแล้ว แต่อยู่ที่อีโก้ของทั้งสองฝ่ายล้วนๆว่าใครจะได้เป็นใหญ่มากกว่ากัน ดังนั้นถ้าหากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีการเสียสละลดอีโก้ของตนเองลงและยกผลประโยชน์ของคนหมู่มากมาเป็นใหญ่ ก็จะทำให้ Bitcoin นั้นได้เห็นด้านสว่างของมันที่มากกว่านี้
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น