<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ราคา Ethereum แตะจุดสูงสุดในรอบเดือนที่ 350 ดอลลาร์ เมื่อ Metropolis ใกล้เข้ามา

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อไม่นานมานี้ ทาง Ethereum Foundation ได้ประกาศถึงการดำเนินการตาม Roadmap ที่ได้วางไว้ ซึ่งก็คือการ hard fork ระบบ Ethereum ให้กลายเป็นเวอร์ชัน Metropolis

ซึ่งหลังจากการออกมาประกาศการทำ hard fork ในช่วงปลายเดือนกันยายนดังกล่าวนั้นได้ส่งผลให้ราคาของเหรียญ Ether พุ่งขึ้นไปที่ราวๆ 287-345 ดอลลาร์ในช่วงเวลาแค่สองวัน และมูลค่าตลาดของมันก็ยังพุ่งขึ้นไปโดยมีมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์อีกด้วย

นอกจากนี้โวลลุ่มในการซื้อขายทั่วโลกของ Ethereum รายวันยังพุ่งขึ้นจาก 600 ล้านดอลลาร์ไปสู่ 2.2 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้โวลลุ่มการซื้อขายรายวันของ Ethereum อยู่ที่ 2.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเหรียญอันดับสามของโลกอย่าง Bitcoin Cash ตอนนี้ก็มีโวลลุ่มการซื้อขาย 24 ชั่วโมงไล่มาติดๆที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์

การ Hard fork ของ Ethereum นั้นจะแตกต่างจากของ Bitcoin ที่มีการเกิด chain split หรือการแยก Blockchain ออกมา ในขณะที่ของ Ether นั้นจะเป็นการปรับปรุงและพัฒนาระบบต่างๆตามที่นักพัฒนาได้ออกมาประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้นักลงทุนหลายๆคนมีความสบายใจว่า Ethereum นั้นจะไม่มีการแบ่งแยกเหรียญอีกแล้วเหมือนกับตอนแยก Ethereum Classic ก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว (แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ในอนาคต…ในโลกของ cryptocurrency)

ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญหลายๆคนเชื่อว่าการ hard fork ของ Ethereum นั้นจะเป็นการนำพาเหรียญสัญญาอัจฉริยะ (smart contract) ตัวนี้ให้ไปสู่ทิศทางที่ดีกว่า ซึ่งต่างจากของใน community ของ Bitcoin ที่เป็นการทะเลาะกัน

นาย Vitalik Buterin หรือบิดาของ Ethereum ได้ออกมาอธิบายว่าบางทีการ hard fork นั้นก็ไม่ต้องลงเอยด้วยการทะเลาะและแยกตัวเสมอไป อีกทั้งเขายังได้เน้นย้ำว่าการ hard fork นั้นจะช่วยทำให้มีแผนการอัพเดตระบบ protocol ที่สะอาดกว่าและดีกว่าการทำ soft fork

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

“ถ้าจะให้ผมเดาว่าทำไมถึงต้องทำ hard fork แม้จะมีคนออกมาบ่นว่าทำไมไม่ทำ soft fork คือถ้าจะให้อธิบายนั้น soft fork มักจะถูกมองว่า “ดูน่ากลัวน้อยกว่า” การทำ hard fork ผมก็อาจจะคิดเหมือนๆกัน เพราะที่ผ่านมาการ hard fork นั้นเหมือนกับเป็นการ “บังคับ” ผู้ใช้งานให้ทำการติดตั้งตัวอัพเดตซอฟต์แวร์ ในขณะที่ soft fork นั้นผู้ใช้งานไม่ต้องทำอะไรเลย อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนี้มันถือเป็นแนวคิดที่ผิด เพราะสิ่งที่ทำสำคัญจริงๆนั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสบายของผู้ใช้ที่ต้องถ่อมือและนิ้วของเขาไปคลิกปุ่ม “ดาวน์โหลด” แต่มันเป็นเรื่องของการให้ผู้ใช้งานยอมรับในตัวกฎ protocol ใหม่ที่เขาไม่ค่อยอยากจะยอมรับกัน”

การทำ hard fork เป็น Metropolis นั้นจะเป็นประโยชน์ต่อนักพัฒนา, ผู้ใช้งาน, ธุรกิจ ในเครือข่ายของ Ethereum ไม่ว่าจะเป็นการปรับขนาดของการส่ง gas, การนำเอาระบบ zk-SNARKS มาติดตั้ง และการ mask ที่อยู่สำหรับโอนนั้น ในตอนหลังจะทำให้ Metropolis สร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้งานได้มากขึ้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

“ในตัว Metropolis จะมีระบบที่เรียกว่า zk-SNARKS ที่สร้างบน “Zero Knowledge Proofs” ที่จะช่วยให้ Blockchain ของ Ethereum สามารถทำธุรกรรมได้แบบมีความไร้ตัวตนมากขึ้น” กล่าวโดยนาย Josh Breslauer หรือนักพัฒนา Ethereum

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น