<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

“เทคโนโลยี Blockchain จะมาแทนที่ Visa ในอีก 2-3 ปี” กล่าวโดยผู้ก่อตั้ง Ethereum

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ผู้ก่อตั้งและบิดาแห่ง Ethereum นาม Vitalik Buterin นั้นดูเหมือนว่าจะเริ่มจริงจังกับเหรียญ cryptocurrency ของตัวเองมากขึ้น โดยในการให้สัมภาษณ์กับนาย Naval Ravikant ที่เรียกเหรียญดังกล่าวว่าเป็น “ไวรัสสมอง” นั้น เจ้าของเหรียญดังกล่าวเชื่อว่าจะมาเป็นอนาคตของความปลอดภัยและเศรษฐกิจ ที่ซึ่งภายหลังนั้นจะมาแทนที่ผลิตภัณฑ์ด้านการเงินในปัจจุบันอย่างบัตรเครดิต และรวมถึงเซิฟเวอร์เกมในท้ายสุด

โดยอ้างอิงจากการให้สัมภาษณ์ในงาน TechCrunch Disrupt SF 2017 นั้น นาย Vitalik ได้จำแนกผู้คนในโลกนี้เป็นสองประเภท

“ในตอนนี้จะมีผู้คนที่เคยได้ยินเรื่องของ Bitcoin แล้ว และก็มีคนที่ยังไม่เคยได้ยินมัน” เขากล่าว ซึ่งโปรเจค Ethereum จะมีการพัฒนาบนแนวคิดและระบบ Blockchain เพียงแต่ว่ามันสามารถนำไปใช้ต่อยอดไปเป็นโปรเจ็คอื่นๆต่อได้

“แนวคิดของ Ethereum มาจากการที่คุณนำเอาแนวคิดเศรษฐกิจของเหรียญคริปโตและแรงจูงใจด้านเศรษฐกิจที่มีส่วนช่วยทำให้ Bitcoin โต มารวมกัน จนเกิดเป็นระบบเครือข่าย decentralized ที่มีหน่วยความจำมารองรับแอพพลิเคชันหลายๆตัว” เขากล่าว “แอพด้าน Blockchain ที่มีความเป็น decentralization ดีนั้นจะต้องมีหน่วยความจำที่สามารถถูกแชร์กันได้”

นั่นคือสื่งที่นาย Vitalik กำลังสร้างอยู่ และเขาหวังว่าจะนำมันมาติดตั้งอยู่บนเครือข่ายของ Ethereum

ในขณะนี้ เครือข่ายของ Ethereum นั้นยังค่อนข้างที่จะล่าช้าเกินไปที่จะรองรับแอพในตลาด

“เครือข่าย Bitcoin สามารถที่จะช่วยประมวลผลธุรกรรมได้ต่ำกว่า 3 ธุรกรรมต่อวินาที” เขากล่าว และเสริมว่า

“ในขณะที่ Ethereum นั้นทำได้ 5 ต่อวินาที ในขณะที่ Uber ให้บริการผู้โดยสาร 12 คนต่อวินาทีทั่วโลก ซึ่งมันจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สำหรับเทคโนโลยี Blockchain ที่จะมาแทนที่ระบบจ่ายเงินอย่าง Visa”

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

กระนั้น นาย Vitalik ไม่คิดว่าทุกๆอย่างควรที่จะถูกรันอยู่บนระบบ Blockchain แต่ก็มีหลายๆอย่างที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ ซึ่งเมื่อเทคโนโลยีดังกล่าวเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มันสามารถที่จะมาทดแทนระบบเซอวิสอะไรก็แล้วแต่ ที่ต้องมีการทำงานแบบ “ควบหลายๆระบบไปพร้อมๆกัน”

“คุณจะรันเกม StarCraft บนเทคโนโลยี Blockchain ก็ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้อยู่แล้ว ระบบความปลอดภัยระดับสูงและการช่วย scaling ของ Blockchain จะรองรับให้สิ่งเหล่านี้ถูกนำมาปรับใช้งานได้ ส่วน Ethereum นั้นจะทำหน้าที่เป็นชั้นรักษาความปลอดภัยที่ไม่มีฟีเจอร์อะไรมากนัก”

“การปรับตัวใช้เหรียญคริปโตนั้นมันเป็นเรื่องของแรงจูงใจในหลายๆด้าน” เขากล่าว “คุณจะไม่สามารถสร้างระบบ blockchain ที่มีความปลอดภัยได้และรวมถึงกฎ protocol หากขาดแรงจูงใจ”

ทว่าภายหลัง หลังจากที่ TechCrunch รายงานข่าวออกไปนั้น นาย Vitalik ก็ออกมาแก้ความเข้าใจผิดว่า Ethereum ในปัจจุบันนั้นประสบปัญหาในการ scaling ที่ทำให้การส่งธุรกรรมหากันล่าช้า แต่ภายในอีก 2-3 ปีนั้น ระบบ plasma.io จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการ scaling ของ Ethereum ที่ทำให้มีการประมวลผลธุรกรรมในขนาดที่ “เทียบเท่า” ของ Visa ได้


ภาพจาก Tech Crunch

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น