<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

“การเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าธุรกรรมอาจทำให้ราคา Bitcoin ร่วงได้” โดยนักเศรษฐศาสตร์ CME

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

นักเศรษฐศาสตร์จาก CME Group เชื่อต้นทุนค่าธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นของ Bitcoin อย่างต่อเนื่องนั้นจะส่งผลทำให้ราคาของมันร่วงลงอย่างรุนแรง

นาย Erik Norland ผู้บริหารระดับสูงและนักเศรษฐศาสตร์อาวุโสแห่งบริษัท CME Group ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับทฤษฎีที่เขานำเสนอ ว่าด้วยการเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าธุรกรรม Bitcoin ที่อาจจะเป็นสาเหตุของการร่วงของราคาของมันได้

ค่าต้นทุนธุรกรรมโดยเฉลี่ยนั้นสามารถคำนวณได้โดยนำเอารายได้ของนักขุดมาตั้งหาร โดยจะประกอบด้วยค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมและรางวัลการขุดเจอบล็อกใหม่ หลังจากนั้นนำมาหารด้วยจำนวนธุรกรรมทั้งหมดในเครือข่าย ค่าต้นทุนการทำธุรกรรมนั้นแตกต่างจากค่าธรรมเนียมการโอน Bitcoin หากัน

ปัจจุบันนักขุดรับรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมประมาณ 9% ของรายได้พวกเขา ในขณะที่ที่เหลือนั้นมาจากรางวัลการขุดเจอบล็อก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ยในการทำธุรกรรมนั้นน้อยกว่าต้นทุนค่าธุรกรรมมาก แม้ว่าผู้ใช้งานส่วนมากในปัจจุบันจะยังบ่นว่าค่าธรรมเนียมของมันนั้นสูงเกินไปก็ตาม

นาย Norland ชี้ให้เห็นว่าในช่วงปี 2010 และ 2013 นั้น ต้นทุนค่าธุรกรรมโดยเฉลี่ยพุ่งขึ้นสูงอย่างมาก ก่อนที่ราคาของ Bitcoin จะร่วงลงตาม บางทีนี่อาจเป็นตัวบ่งชี้ว่า Bitcoin นั้นได้กลายเป็น asset ที่มีการ overbuy มากเกินไป หากเทียบกับประสิทธิภาพในเครือข่ายของมัน ในปี 2010 ค่าต้นทุนต่อธุรกรรมนั้นได้มีจำนวนเท่ากับราคาของ Bitcoin ที่ในขณะนั้นมีราคาแค่ 30 ดอลลาร์เท่านั้น แต่ภายหลังจากนั้นเมื่อปี 2013 ราคาของมันก็พุ่งขึ้นไปแตะ 1,000 ดอลลาร์ ก่อนที่จะตามมาด้วยการล่มสลายของเว็บเทรด Mt.Gox และมูลค่าของต้นทุนค่าธุรกรรมก็เพิ่มขึ้นไปแตะ 80 ดอลลาร์

ปัจจุบันมูลค่าต้นทุนธุรกรรมได้ถูกเพิ่มขึ้นไปประมาณ 74 ดอลลาร์ อ้างอิงข้อมูลจาก Blockchain.info ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่นาย Norland กล่าวว่ามัน “เป็นลางไม่ดี” สำหรับ Bitcoin และ “อาจมีการร่วงของราคาเกิดขึ้นอีก”

“ด้วยการที่ราคาของ Bitcoin มาอยู่ที่ประมาณ 10,000 ดอลลาร์ในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ ตลาดจะสามารถรองรับต้นทุนธุรกรรมที่ 80, 100 ดอลลาร์หรือมากกว่านั้นโดยที่ความต้องการและราคาไม่ลดลงได้หรือไม่” เขาถาม “คำตอบของคำถามนี้ยังไม่ปรากฎในขณะนี้ แต่เราจะได้เห็นกันในช่วงปี 2018 หรือ 2019”

กระนั้น งานวิจัยของนาย Norland ก็ไม่ได้รวมเอาข้อเท็จจริงที่ว่า Bitcoin ในปัจจุบันนั้นถูกใช้อย่างแตกต่างไปจากของเมื่อปี 2010 และ 2013 แล้ว ซึ่งสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือผู้ใช้งานและนักลงทุนเริ่มหันมามองมันเป็นตัวเก็บมูลค่ากันมากขึ้น “หรือทองคำดิจิตอล” ปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้ค่าธรรมเนียมพุ่งสูงขึ้น, ทำให้ผู้ทำการใช้จ่ายแบบจำนวนน้อยๆนั้นแทบจะหายากมากขึ้นในปัจจุบัน

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น