ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยเริ่มที่จะให้ความสนใจในด้านการกำกับและควบคุม cryptocurrency มากขึ้น
โดยอ้างอิงจากรายงานของไทยรัฐนั้นเผยว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กล่าวว่าบริษัทหรือผู้ที่ให้ความสนใจในการให้บริการแลกเปลี่ยน cryptocurrency และ ICO โทเค็นในไทยนั้นจะต้องขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และที่สำคัญ นักลงทุนหรือผู้ที่ซื้อขายสกุลเงินดิจิตอลดังกล่าวจะต้องรายงานที่มาของสินทรัพย์และรวมถึงโวลลุ่มการทำธุรกรรม cryptocurrency ให้กับ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อีกด้วย โดยรายงานกล่าวว่า
“ผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมด อาทิ เป็นดีลเลอร์ หรืออัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ต้องขอใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. หรือผู้ที่ซื้อขายสกุลเงินจิดิทัล ก็ต้องรายงานที่มาของสินทรัพย์ และปริมาณธุรกรรมแก่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)…”
ทั้งนี้ นายอภิศักดิ์กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะทางรัฐบาลนั้นเป็นห่วงว่านักลงทุนรายย่อยจะเกิดความโลภ โดยอ้างอิงถึงยุคสมัยที่ตลาดหุ้นในไทยเพิ่งเกิดใหม่ (เมื่อสมัยปีพ.ศ. 2505) ว่าในขณะนั้นมีการบอกเล่าว่าหุ้นทุกตัวขึ้นหมด จนสุดท้ายหุ้นก็พัง โดยเขาเกรงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะเกิดกับตลาด Cryptocurrency ในปัจจุบันเช่นเดียวกัน
“รัฐบาลต้องการดูแลนักลงทุนรายย่อย เมื่อมีอะไรใหม่ เช่น การระดมทุนโดยใช้ช่องทางของเงินดิจิทัล หรือการทำไอซีโอ ทุกคนอยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยความโลภ เหมือนสมัยตลาดหุ้นเกิดขึ้นใหม่ๆ มีนักลงทุนระบุว่า หุ้นทุกตัวขึ้นหมด จนสุดท้ายตลาดหุ้นก็พัง ดังนั้น อะไรที่เป็นสิ่งใหม่ๆ รัฐบาลก็เป็นห่วง จึงต้องออกกฎหมายควบคุม เพราะไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบในอดีต”
กล่าวโดยนายอภิศักดิ์
ที่สำคัญ เขายังเผยว่าบริษัทสตาร์ทอัพที่เคยเปิดระดมทุนผ่าน Initial Coin Offerings หรือ ICO ไปแล้วก่อนหน้านี้จะต้องไป “ลงทะเบียนกับ ก.ล.ต.ภายใน 90 วัน” อีกด้วย แต่ไม่ได้กล่าวถึงบทลงโทษหากไม่ได้ไปรายงานตัวแต่อย่างไร
รายงานดังกล่าวมีขึ้นหลังจากการประกาศไฟเขียวร่าง พรก. กำกับสกุลเงินดิจิตอลของเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา โดยเผยว่าจะมีการควบคุมหมวดหมู่สองหมวดหมู่ซึ่งประกอบไปด้วย “คริปโต” ที่อาจหมายถึง Bitcoin และเหรียญ cryptocurrency อื่น ๆ และ “โทเค็น” ที่อาจหมายถึง Ethereum และเหรียญ ICO ตัวอื่น ๆ ด้วย รวมถึงการประกาศเก็บภาษี 15% ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
ผู้เชี่ยวชาญด้านคริปโตและ Blockchain เตือนเม็ดเงินอาจไหลออกนอกประเทศ
ในขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญในด้าน cryptocurrency ในประเทศไทยออกความเห็นว่าการเก็บภาษี 15% กับการซื้อขาย ICO นั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะวิธีการระดมทุนดังกล่าวถือเป็นทางออกใหม่ของบริษัทสตาร์ทอัพในไทย ที่กำลังหาทางระดมทุนจาก venture capitalist แต่หากมีการกำกับที่มากเกินไปและไร้ความพอดี อาจส่งผลให้บริษัทในไทยย้ายไปอยู่ต่างประเทศที่กฎหมายเอื้ออำนวยความสะดวกให้มากกว่านี้ อย่างเช่นสิงคโปร์, สวิตเซอร์แลนด์ และมอลต้า
“กฎที่ออกมามันหวังดี แต่ไม่ได้ทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่หายไปกับที่ได้มา มันอาจจะไม่คุ้มกัน ดังนั้นควรมองที่เทคโนโลยีเป็นหลัก ให้กฎเหล่านี้ที่สร้างขึ้นมาสุดท้ายมัน Enable ให้เกิดเทคโนโลยีที่ในวันนึงเราสามารถเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีขายได้ ไม่ใช่เป็นผู้ซื้อเทคโนโลยีอย่างเช่นทุกวันนี้”
คุณแบงค์ สถาพน ผู้ก่อตั้งบริษัท Smart Contract Thailand
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น