คุณผู้อ่านคงจะเคยเห็นภาพ ที่เศรษฐีจาก Silicon Valley ทำตัวตัวติดดิน ใส่เสื้อตัวแบบเดิมซ้ำๆ รองเท้าผ้าใบถูกๆ อยู่บ้านหลังเก่าๆ โฟกัสในการทำงาน ไม่ปาร์ตี้ สังสรรค์ใดๆทั้งนั้น หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จในธุรกิจ แต่ว่า มหาเศรษฐีของคริปโตนั้นถือเป็นข้อยกเว้น
ในทางตรงกันข้าม เศรษฐีที่ร่ำรวยจาก Bitcoin นั้นกลับซื้อรถแลมโบกินี่ เป็นเพื่อสัญลักษณ์โชว์ความร่ำรวย ,มั่งคั่ง ของเค้าเอง
ในเวลาต่อมา เจ้ารถแลมโบกินี่นี้ได้กลายมาเป็น Meme (มีม) ของอินเตอร์เน็ต ซึ่งเวลามีคริปโตตัวใหม่ๆที่ดูดี และน่าลงทุน คนก็ชอบถามกันว่า “เมื่อไรจะแลมโบ ?” ล่ะ ลงใน Social Media นั้นๆ คนที่ลงทุนเหล่านั้นใช้คำว่า แลมโบ เพื่อเป็นการบอกว่าคริปโตตั้วนั้นมาแรง และมีราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
นาย Peter Sadington โปรแกรมเมอร์ อายุ 35 ปี ที่ Atlanta จ่าย Bitcoin เป็นจำนวน 45 BTC เพื่อซื้อรถแลมโบกินี่ Huracan (ราคา 200,000 ดอลลาร์) ในปี 2015 โดยหากย้อนไปเมื่อ ปี 2011 เขาได้ ซื้อ Bitcoin มาในราคาไม่ถึง 3 ดอลลาร์ และเนื่องจากกระแสคริปโตที่กำลังร้อนแรงในช่วงนั้นทำให้ Bitcoin ที่เขาซื้อมามีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้การซื้อขายนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาเลย
นาย Vitalik Buterin ผู้สร้าง Ethereum ได้มีการ บ่น และ หยอกล้อกับ คนกับที่ชอบอวดความรวยของเขาที่ได้จากคริปโต ว่า “ถ้าเกิดว่าสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดเป็นได้แค่ รถแลมโบกินี่ Meme หรือ มุกตลกเด็กๆ หละก็ ผมจะไป” ลงใน Twitter ของเขาเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
และเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา รูปของ นาย Vitalik Buterin ซึ่งใส่ชุดศาสดาสีขาว และ ที่ฝ่ามือเค้ามี รถแลมโบกินี่ อเวนทาดอร์ สีแดง ได้ไวรัลไปทั่ว Reddit
เราไม่มีข้อมูลว่า เหล่ามาเศรษฐีคริปโตนั้นได้ซื้อรถไปกี่คัน แต่เรามีข้อมูลอ้างอิงจาก Quartz ว่า ยอดขายของ รถแลมโบกินี่ เพิ่มขึ้น พร้อมกับ ราคาของ Ethereum ซึ่งในปี 2017 ที่ผ่านมา อ้างอิงจาก แลมโบกินี่ อุตสหกรรม รถยนต์หรู นั้นได้เติบโตติดต่อกันเป็นเวลา 7 ปีแล้ว
ผู้จัดการของ แลมโบกินี่ ที่ Newport Beach ยังบอกกับ CNBC ด้วยว่า มีธุรกรรมกว่า 10 อันที่ถูกชำระด้วยคริปโต ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาซึ่ง Bitcoin มีราคากว่า 19000 ดอลล่าร์
ไม่มีใครทราบได้ว่าค่านิยม ในการซื้อรถแลมโบกินี่ ในวงการคริปโตนี้มาจากไหน แต่เหมือนว่าปัจจุบันจะกลายเป็น Meme ของอินเตอร์เน็ทและเป็นคำติดปากของทุกคนไปซะแล้ว ในอีก 100 ปีข้างหน้า ในวงการคริปโต คนรุ่นนั้นอาจจะสงสัยด้วยก็ได้ว่าทำไมต้อง ใช้คำว่า “แลมโบ”
ที่มา: Business Insider
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น